Tuesday, September 9, 2008

นิมิตรก่อนต่ายเป็นอย่างไร

'..ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ 'คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต' สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรับตำรา ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ
๑) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่าคนนั้นตายแล้วตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักพระยายมราช
๒) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๓) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
๔) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เช่นของที่เราเคยให้ทาน หรือวัดที่เราเคยทำบุญ พระที่เราเคยไหว้จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่าสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างนี้ ก็จะไปเกิดบนสวรรค์คือไปสู่สุคติ
ตามที่หลวงพ่อปานเขียนมาอย่างนี้ อาตมาไม่ใช่ต้องการพิสูจน์แต่ได้ไปประสบเข้าโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ 'จวน' นามสกุลจำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลานั้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกณฑ์คนไปทำงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้าน ญี่ปุ่น คุณจวนก็ไปทำงานที่นี่ด้วย เมื่อเลิกสงครามก็เลิกทำงาน กลับมาก็ปรากฏว่าเป็นโรคไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรคคือเป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด

วันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี พอดีกลับมามีคนเขาบอกว่า 'จวนป่วยหนัก' ประมาณ ๔ โมงเย็น อาตมานิมนต์พระไปเป็นเพื่อนอีก ๔ องค์ ที่นำพระไปด้วยก็คิดว่าคนป่วยหนักถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นกุศลคนนั้นจะไปสวรรค์

พอ ไปถึงคุณจวนก็อาการหนักจริงๆ หายใจช้าๆ แล้วก็เบาลงๆ อาตมาไปนั่งข้างๆ เรียกชื่อ 'จวน จำฉันได้ไหม' ท่านเหลียวหน้ามาพยักหน้าตอบว่า 'จำได้' เสียงเบามาก จึงถามเธอว่า '! เวลานี้เห็นอะไรไหม ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง'
ท่านก็ตอบว่า 'เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า'
ท่านก็แสดงอาการหวาดกลัวไฟมาก เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่าท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตอย่างนี้ถ้าเห็นตายแล้วไปนรกทันที
ก็คิดอะไรไม่ถูกจึงถามว่า 'จวน ภาวนาว่าพุทโธได้ไหม'
เธอส่ายหน้าบอกว่า 'คิดไม่ออก'
อาตมาจึงหันไปถามภรรยาท่านว่า 'มีสตางค์ไหม'
เธอก็ตอบว่า 'มี'
ก็เลยบอกว่า 'ถ้ามีละก็ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม'
เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาทมาให้ อาตมาก็นำไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือแล้วบอกว่า
'จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่! ยง เราจะตาย หรือไม่ตายนั้นไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี ้ฉันมาพร้อมกับพระ ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ ให้คิดว่าของต่างๆ ในวัดทั้งหลายที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ก็ดี เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท'

ท่านก็พูดเบาๆ ตามแล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระ ๔ องค์ว่า 'คุณทั้งหลายถ้าเห็นชอบให้ สาธุ พร้อมกันนะ'
พระ ทั้งหลายก็ 'สาธุ'พร้อมกัน พอพระสงฆ์สาธุพร้อมกัน รู้สึกว่าจิตใจของท่านสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า 'จวน เวล! านี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง'
ท่านก็ตอบ 'ไฟหายไปแล้ว'
ถามว่า 'เห็นภาพอะไร'
ท่านบอก 'เห็นภาพพระประธานในพระอุโบสถวัดบางนมโค' เพราะว่าท่านเคยบวชที่วัดบางนมโคและก็ไปทำวัตรเป็นประจำ
ถามว่า 'เห็นชัดไหม'
ท่านก็บอก 'เห็นชัด อยู่ใกล้มาก'
เลยบอกว่า 'จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ'
แทนที่ท่านจะนึกในใจกลับออกเสียงว่า 'พุทโธๆ ๆ ๆ' เบาๆ ว่าไปสัก ๓-๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลงแต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย
ถามว่า 'จวน เวลานี้เห็นพระไหม'
ท่านตอบว่า 'เห็นพระ'
ถามว่า 'ชัดขึ้นไหม'
ท่านก็ตอบว่า 'ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างใหญ่กว่าเดิมมาก'
เลย บอกว่า 'ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงว่าเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็นคือภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์'
ท่านยิ้มนิดหนึ่งแล้วบอกว่า 'พอพูดจบก็! มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระท่านก็ชี้บอกว่า วิมานนี้เป็นของเธอ'
จึงถามว่า 'เวลานี้ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน'
ท่านก็ตอบเบาๆ ว่า 'ต้องการวิมานครับ'
ก็ไม่ต้องรบกวนให้เหนื่อยต่อไปจึงบอกว่า 'ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่าพุทโธ'
ท่านก็ภาวนาเบาๆ ว่า 'พุทโธๆ ๆ ๆ'
ในที่สุดก็เงียบไปพร้อมกับคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก
รวมความว่าท่านตายคู่กับพุทโธ
เป็น อันว่า นิมิตเครื่องหมายมีจริงอาตมาพบมาเองหลายสิบราย และวิธีแก้ก็มีวิธีเดียวคือวิธีนี้ เพราะว่าเวลานั้นอย่างอื่นมันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญเขาไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่าเป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ

เป็นอันว่ามนุษย์เราที่ตาย ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อนแต่ว่านิมิตที่ดีและถูกตัดรอนเพราะกฎของกรรมก็มี..



คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิตก่อน



ที่มา: ทำบุญ ดอทคอม

Tuesday, August 19, 2008

หากหัวใจคล้ายห้องว่าง โดย ว.วชิรเมธี‏

โพสต์ทูเดย์
ว.วชิรเมธี


หากหัวใจคล้ายห้องว่าง

คำว่า "ชีวิต" ประกอบขึ้นมาจาก "กาย" กับ "ใจ" เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "รูป" กับ "นาม" องค์
ประกอบทั้งสองของชีวิตนี้ "ใจ" มีความสำคัญมากกว่า "กาย" เพราะ "ใจ" เป็นอย่างไร "กาย"
จะเป็นอย่างนั้น

ความสำคัญของใจที่มีผลเหนือกายนั้นมีตัวอย่างมากมาย อภิปรายกันไม่รู้จบ


เช่น วันหนึ่งเมื่อมีนักข่าวสัมภาษณ์ว่า ไทเกอร์ วูด มีเคล็ดลับในการตีกอล์ฟอย่างไร จึงตีได้แม่นเหมือน
จับวางทุกครั้ง เขาตอบสั้นๆ ว่า

"ผมจินตนาการเห็นลูกกอล์ฟ ลอย ละลิ่วลงหลุม ก่อนที่ผมจะเริ่มตีมันเสียอีก"

คำตอบของนักกอล์ฟอัจฉริยะสะท้อนว่า ใจของเขานั้นไม่ได้สั่งได้เฉพาะกายคือมือของเขาเท่านั้น แม้แต่
ไม้ตีกอล์ฟเอง ก็หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา เข้าทำนอง "กระบี่อยู่ที่ใจ ใจอยู่ในกระบี่"
โดยแท้


ครั้งหนึ่งมีการทดลองกันในทางจิตวิทยาว่า ใจสำคัญต่อกายจริงหรือไม่ นักจิตวิทยาร่วมมือกับนายแพทย์
ท่านหนึ่ง ไปตรวจร่างกายของนักกีฬายกน้ำหนักถึงโรงยิม เมื่อไปถึงนายแพทย์ก็ตรวจวัดร่างกายของนัก
กีฬายกน้ำหนักคนหนึ่ง ซึ่งมีร่างกายที่ แข็งแรงมาก เขากำลังฝึกยกน้ำหนักอยู่พอดี เมื่อไปถึงนายแพทย์
ใช้ปรอทวัดไข้อยู่สักพักหนึ่ง รอไม่กี่นาที ท่านก็รายงานด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า นักกีฬาคนนี้กำลังมีปัญหา
ใหญ่ เพราะตรวจพบ "บางอย่าง" ในร่างกาย ขอให้งดการฝึกซ้อมเอาไว้ก่อน



พอนายแพทย์พูดจบ นักกีฬาร่างล่ำบึ้ก มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขายก น้ำหนักต่อไปไม่ไหว ยก
อย่างไรก็ไม่เป็นที่พึงพอใจ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด เขาจึงขออนุญาตลากลับไปพักหลายวัน ต่อมา
นายแพทย์และนักจิตวิทยา จึงขอโทษ นักกีฬาคนนั้นพร้อมทั้งบอกความจริงว่า ผลการตรวจสุขภาพไม่เป็น
อันตรายอย่างที่เป็นกังวลสักนิด ที่แจ้งผลไปก่อนหน้านั้น เป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งทั้งครู
ฝึก นักจิตวิทยา และนายแพทย์ ร่วมมือกันและรู้กันมาแต่ต้นอยู่แล้ว ทันที ที่ทราบผลว่า ตนไม่เป็นอะไร
วันรุ่งขึ้น นักกีฬาคนนั้นก็มาฝึกซ้อมต่อ และคราวนี้เขาสดชื่นรื่นเริงอย่างเห็นได้ชัด


การทดลองคราวนี้ ก็สะท้อนหลักการ ที่ว่า "ใจเป็นอย่างไร ร่างกายเป็นอย่างนั้น" จริงๆ


ความจริง ในชีวิตของคนเรานั้น หากสังเกตให้ดีเราจะพบว่า พฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงผลออกมาทาง
กายนั้น ล้วนได้รับอิทธิพลของใจทั้งสิ้น


คนที่มีสีหน้าสดชื่น ผ่องใส ใจเย็นโดยธรรมชาติ (ไม่ใช่ใสเพราะฝีมือหมอ) ก็เพราะลึกๆ แล้ว เขาไม่
มีความเครียดเจือปนอยู่ในใจ คนที่หงุดหงิดงุ่นง่าน ก็เพราะในใจเขา เต็มไปด้วยความกังวล คนที่มี
พฤติกรรมฉ้อฉล คอร์รัปชัน ก็เพราะใจ เขามี "ไถยจิต" ซึ่งแปลว่า
"จิตที่มีธาตุแห่งความเป็นหัวขโมย" แฝงอยู่ คนที่สู้ชีวิต ก็เพราะใจเขาเปี่ยมด้วย "ปรักกมธาตุ" ซึ่ง
แปลว่า "ใจนักสู้" อยู่ข้างใน ส่วนคนที่เต็มไปด้วยความอิจฉาตาร้อน ก็เพราะข้างในของเขา หมัก
หมมอยู่ด้วยไฟริษยานั่นเอง


นอกเป็นอย่างไร ก็สะท้อนว่าใจเป็นอย่างนั้น


กาย จึงเป็นเหมือน เงาสะท้อนของใจ


ใจของเรานั้น ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้นสถานภาพ
ของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที เป็นต้นว่า เรามีห้องว่างเปล่าอยู่ ห้องหนึ่ง เมื่อ - -


เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ

เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ

เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว

เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน

เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก

เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี


ห้องแห่งหัวใจของเรา ก็ไม่ต่างอะไร กับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย ทุกครั้งที่เราบรรจุ
อะไรเข้าไปในใจ ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน

เราใส่ความเมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี

เราใส่ธรรมะเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ

เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน

เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม

เราใส่ความกลัวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ

เราใส่ความเป็นนักสู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้

เราใส่ความขาดสติเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย



เห็นด้วยกับผู้เขียนหรือไม่ว่า ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของ
เราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้


พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า "ใจเป็น นาย ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้สร้างสรรค์..." หรือบางทีก็ตรัสว่า
"จิตฺเตน นียติ โลโก" แปลว่า "โลกหมุนไปตามใจสั่งการ" โลกในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรานั่นเอง
โลกคือชีวิตจะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง ทั้ง
หลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น


ใจของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เราบรรจุอะไรลงไป ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น
ทุกวันนี้ เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราบรรจุอะไรลงไปในห้องแห่งหัวใจของเราบ้าง ความรู้
ความงมงาย ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความดี ความชั่ว ความริษยา ความหน้า
ด้าน ความสะอาด สว่าง สงบ หรือความตื่นรู้


ชีวิตจะเป็นอย่างไร รุ่งโรจน์หรือ ร่วงโรย ขึ้นสูงหรือลงต่ำ สำคัญที่เราบรรจุอะไรลงไป


ในใจของเราเอง !

http://udata2.postjung.com/udata/0/558/558690/upic-286.jpg

อย่าตัดสินคน ด้วยขนมเพียง 1 ห่อ

อย่าตัดสินคน ด้วยขนมเพียง 1 ห่อ


ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี
จำเป็นต้องรอเวลาถึง3 ชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง
เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ
และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ

เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง
เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้
เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่ม
ซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา


สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ
ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุกกี้ออกจากถุง


ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้น
เธอมองด้วยความโกรธ...
!!1
แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ
เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา

ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย...กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป
เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า


"ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็....ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย"

ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น
ทั้งสองส่งสายตามองกัน...เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย
เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร
ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น
ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น....

เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า
"เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ"
เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง
ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม


ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว
เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก
ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.....
คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน

เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม
แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า
มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง
เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท
เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง...


มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด...
มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น...
และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง
ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย

นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น
หลาย ๆ สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี
แล้วคอยสงสัยตัวเองว่า
..

"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง? และ
เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่"

http://www.idswater.com/Common/header/Img-water.jpg

Sunday, August 3, 2008

"Inside North Korea": บรรยากาศน่าสนใจภายในเกาหลีเหนือ

"Inside North Korea": บรรยากาศน่าสนใจภายในเกาหลีเหนือ

ผมไปพบกับบทความซึ่งชาวรัสเซียชื่อ Artemii Lebedev ซึ่งเป็นนักออกแบบเว็บไซต์ชาวรัสเซียได้ไปเที่ยวในเกาหลีเหนือ และมีผู้นำมาแปล (ชื่อว่า koutch) ลงในเว็บบอร์ดด้านการทหารในต่างประเทศ เห็นว่าน่าสนใจดี และเคยนำมาลงใน blog ของผมแล้ว แต่ไฟล์รูปทั้งหมดได้หายไป ตอนนี้ผมพบไฟล์รูปนั้นแล้ว เลยคิดว่าน่าจะลองเอารูปประเทศเกาหลีเหนือจริง ๆ มาลงที่นี่สักหน่อย เพราะหลาย ๆ สิ่งในทริปนี้น่าสนใจมากครับ

เมื่อคุณมาถึงสนามบิน คุณต้องเก็บโทรศัพท์มือถือของคุณ เพราะมันไม่มีบริการ roaming ที่นี่ แต่ถ้าเรากดเลือกผู้ให้บริการเองแล้วคุณจะพบ PRK 03 ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเห็นใครในเกาหลีเหนือใช้โทรศัพท์มือถือเลยก็ตาม สำหรับLaptop นั้นได้รับอนุญาตให้เอาเข้าประเทศได้ ดูเหมือนว่าเกาหลีเหนือจะไม่ได้ระวังว่า Laptop นั้นจะใช้เป็นโทรศัพท์ได้

นี่เป็นบ้านหลังเดียวที่นักท่องเที่ยวได้รับอนุญาติให้ เข้าชมได้ มันเป็นเหมือนบ้านในอุดมคติของชาวนาในอุดมคติซึ่งมีแม้แต่ส่วนประกอบของ คอมพิวเตอร์ที่ไม่เคยต่อเข้าด้วยกัน อินเตอร์เน็ตนั้นไม่มีให้บริการ มีแต่อินทราเน็ตเท่านั้น

เมื่อคุณมาถึงคุณจะถูกจัดให้ไปกับไกด์และคนขับรถ พวกเขาจะตามคุณไปทุกที่ ซึ่งคุณไม่สามารถออกจากโรงแรมได้ถ้าไม่ได้มีพวกเขาตามไปด้วย ในโปรแกรมการเที่ยวแต่ละวันรวมถึงการเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ 2 - 3 แห่ง ในโรงแรมนั้นคุณสามารถชม BBC NTV (ทีวีรัสเซีย) และช่องของจีน 2 - 3 ช่อง ดังนั้นคุณคงบ่นไม่ได้เรื่องเสรีภาพในการพูด อาหารก็อยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งคุณก็บ่นไม่ได้เช่นกัน เมื่ออยู่ในสวนสาธารณะผมเห็นหญิงชราคนหนึ่งก้มเก็บพืชอยู่ ไกด์บอกว่านั่นเป็นอาหารสำหรับกระต่าย แต่มันก็แน่ชัดอยู่แล้วว่าพืชแบบนั้นเป็นสิ่งที่ "เจ้าของกระต่าย" สามารถกินได้

มีร้านเล็ก ๆ ซึ่งขายสินค้าจากต่างประเทศให้นักท่องเที่ยว ซึ่งดูเหมือนมันจะถูกผลิตมาตั้งแต่ปี 2001 คุณต้องจ่ายเงินให้เคาเตอร์หนึ่ง และจะได้รับบัตรรับสินค้ามาเพื่อไปรับในอีกเคาเตอร์หนึ่ง

สำหรับร้านที่ขายของให้ชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะขายแต่น้ำมะนาว โดยนักท่องเที่ยวจะได้รับถ้วยพลาสติก ส่วนชาวเกาหลีเหนือจะได้รับถ้วยกระเบื้องซึ่งจะนำไปล้างและนำกลับมาใช้ใหม่

บางครั้งคุณก็เห็นชาวบ้านขายผักบางชนิด ซึ่งภาพนี้ถูกถ่ายข้าง ๆ ร้านขายผลไม้และผัก ซึ่งปิดทันทีเมื่อเห็นนักท่องเที่ยว

ชาวเกาหลีเหนือมักจะตื่นเต้นเมื่อเห็นคนผิวขาว (เพราะผู้เขียนเป็นชาวรัสเซีย: Skyman)

รูปปั้นที่ทำจากปูนปลาสเตอร์นั้นดูสะอาดและไม่มีรอยแตก ร้าว ซึ่งชาวเกาหลีเหนือนั้นเก่งทีเดียวในการทำของในปี 1950 ให้ใหม่อีกครั้ง

ชาวเกาหลีเหนือคงไม่ทราบถึงวิธีการทำกระจกโดยไม่มีฟอง อากาศอยู่ข้างใน ซึ่งกระจกคุณภาพดีจะอยู่ในโรงแรมเท่านั้น

น้ำมันแทบจะหาไม่ได้ เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้มือกัน

น้ำนั้นดูเหมือนจะหายากเมื่อคุณออกจากเมือง

ซึ่งในภาพนั้นชาวบ้านกำลังซักผ้าในแม่น้ำอยู่ (เห็นวัวกับคนแล้วก็น่าสงสาร: Skyman)

ชีวิตในหมู่บ้าน

ในเมืองนั้นเกาหลีเหนือจะสร้างอาคารสูงคอยบังอาคารเตี้ย ๆ เสมอ ซึ่งถ้ามันเป็นไปไม่ได้ (ที่จะบัง: Skyman) ชาวเกาหลีเหนือก็สร้างกำแพงคอนกรีตบังเอาไว้ ซึ่งคุณจะเห็นได้แค่หลังคา
เมื่อคุณพยายามจะถ่ายภาพซึ่งแตกต่างจาก นิตยสาร "Korea" ไกด์จะถามว่า "คุณจะถ่ายรูปไปทำไม ห้ามถ่ายภาพที่นี่"

เมื่อความต้องการขั้นพื้นฐานเรียกร้อง ชาวเกาหลีเหนือจะไม่อาย ไกด์ห้ามถ่ายภาพชายยืนปัสสาวะกลางถนน (on the middle of the road) แต่มันก็ไม่มีปัญหาถ้ามันเกิดขึ้นใกล้ ๆ อนุเสาวรีย์ (ดูผู้ชายที่บันได)

อนุเสาวรีย์ ซึ่งไฟฟ้าจะถูกตัดในเวลา 5 ทุ่ม

ตอนกลางคืนดูน่ากลัว ไม่มีแสงตามถนน และชาวบ้านใช้แต่แสงสีขาวและไม่ปิดม่าน

ในระหว่างที่ผมขึ้นนั้นลิฟต์เสียเป็นเวลา 15 นาที

วิวจากอนุเสาวรีย์ ข้าง ๆ วิวอันสวยงามคุณจะเห็นซากนกตาย

ความเป็นจริงของเกาหลีเหนือ นักท่องเที่ยวจะไม่ได้เห็นภาพนี้ทั่ว ๆ ไป

นี่คือทั้งหมดของเปียงยาง เมื่อผมถามไกด์ถึงบ้านเก่า ๆ นั้น ไกด์ตอบว่าคนที่อยู่ในบ้านเก่า ๆ พวกนั้นไม่ยอมย้ายออกไป และขออยู่ที่เดิม

ในสถานที่บรรจุศพผู้นำ คุณต้องเอาเสื้อเข้าในกางเกงและทำท่าขึงขัง และวางทุกอย่างยกเว้นแว่นตาดำไว้ที่ทางเข้า คุณต้องเดินผ่านเครื่อง X-ray (ซึ่งไม่มีใครบอกคุณ) และมีเหตุผลบางอย่างที่สถานที่นี่ติด Wi Fi Router อนุเสาวรีย์ภายในนั้นเป็นสีขาว มีไฟสีน้ำเงินส่องด้านบน ด้านล่างมีไฟสีแดง ซึ่งการเข้าชมครั้งนี้ถือเป็น "การเยี่ยม" เพราะท่านผู้นำนั้น "ยังมีชีวิตอยู่" (ในแง่ของการมีชีวิตอยู่ในจิตใจ: Skyman)

ข้าง ๆ อนุเสาวรีย์ซึ่งใส่เสื่อที่เขียนว่า "คลั่งไคล้สหภาพโซเวียต" (Hysteria of the USSR) นั้นก็คือไกด์ซึ่งรู้ภาษารัสเซียไม่มากนัก เมื่อคุณถามอะไรยาก ๆ นั้นเค้าก็ไม่สามารถตอบได้

-----------------------------

คนไทยก็คงเที่ยวได้ล่ะครับถ้าอยากจะไปจริง ๆ ซึ่งสายการบินเกาหลีเหนือมีไฟลล์มากรุงเทพ "เดือนละ 1 ครั้ง" เอาเป็นว่าไปเดือนนี้กลับเดือนหน้าถ้าตั้งต้นจากกทม. แต่ที่ง่ายกว่าคือเข้าจากทางจีนน่ะครับผมว่า

ประมาณ 10% ของชาวเกาหลีเหนือเป็นทหาร มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินไปโดยไปพบทหาร

พวกทหารทำงานทุกอย่าง ดูแลสัตว์ต่าง แบกฟืน หรือขับรถที่ขนคน 40 คน

มันเป็นความสนุกสนานอย่างหนึ่งที่เกาหลีทั้งสองจะมอบให้ คุณ นั้นคือการพาไปเยี่ยมชายแดน มีเรื่องแปลกบางเรื่องคือ ถนนในระบบทุนนิยมนั้นมีสภาพดี แต่ในระบบคอมมิวนิสต์นี่สภาพแย่มาก (พื้นที่ที่เป็นทหารคือที่ของเกาหลีเหนือ)

ฝั่งของเกาหลีเหนือ

ตรงนี้คาดว่าจะเป็นหมู่บ้า ปัน มุน จอม ล่ะครับ หมู่บ้านนี้มีเส้นแบ่งระหว่างเกาหลีเหนือและใต้พาดผ่าน ถือเป็นพื้นที่ที่มีการเผชิญหน้ากันมากที่สุดในโลก ทหารแต่ละฝ่ายจะยืนคุมเข้มในฝั่งของตน ทหารเกาหลีใต้จะยืนหลบมุมให้ตัวออกมาแค่ครึ่งเดียวเพื่อลดการเป็นเป้าหมาย พร้อมกับยืนในท่าเตรียมพร้อมของศิลปะป้องกันตัว ส่วนทหารเกาหลีเหนือจะยืนหันหน้าเข้าหากันอย่างนี้ นัยว่าเพื่อจับตาซึ่งกันและกันไม่ให้คนหนึ่งกระโดดหนีไปแดนเกาหลีใต้

ถนนนั้นเตรียมไว้แล้วสำหรับรับมือการบุก บล็อกสี่เหลี่ยมคอนกรีตนั้นจะถูกดันลงมาเพื่อสกัดกั้นรถถัง

พวกเขาสร้างมันไว้บนถนนทุกเส้นในรัศมี 50 กม.จากชายแดน ส่วนมากถูกประดับตกแต่งไว้ด้วย

พวกเขายังสร้างไว้ในภูเขาอีกด้วย

ชายหาดในเกาหลีเหนือนั้นถูกล้อมด้วยรั้วไฟฟ้าซึ่งป้องกัน ชาวเกาหลีเหนือว่ายน้ำหนี แน่นอน คุณถูกห้ามถ่ายภาพ

ชาวเกาหลีเหนือมักภูมิใจที่จะอวดสิ่งของที่ยึดได้มาก ศัตรู อย่างเช่นเรืออเมริกันที่ชื่อ Pueblo

USS Pueblo (AGER-2) คือเรือในชั้น Banner ซึ่งเป็นเรือสำรวจและวิจัย ถูกเกาหลีเหนือจับไปในวันที่ 23 มกราคม 1968 มีผู้เสียชีวิต 1 คน ลูกเรือทั้ง 82 คนถูกจับไป 11 เดือนก่อนได้รับการปล่อยตัวครับ
เรือลำนี้ถูกตั้งแสดงในเกาหลี เหนือตั้งแต่นั้นมา

ซากของเครื่องบินอเมริกันในพิพิธภัณท์

ชาวเกาหลีเหนือนั้นป้องกันตัวเองเสมอ นอกจากศัตรูภายนอกแล้ว เพื่อนบ้านด้วยกันเองก็ป้องกันตัวเอง (every neiborhood is defended) โดยบังเอิญ ผมถ่ายตึกนี้ที่มีแอร์ติดอยู่ทุกห้อง แน่นอนผมถูกห้ามไม่ให้ถ่าย แสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่บ้านธรรมดา นักวิทยาศาสตร์อาจจะอยู่ที่นี่ก็ได้

นี่คือโฆษณาเพียงชิ้นเดียวที่นี่ ซึ่งก็คือโฆษณารถซึ่งร่วมกันสร้างกับเกาหลีใต้ คุณจะเห็นแต่ในเมืองหลวงเท่านั้น

ในภาพวาดนั้นแสดงถึงฮีโร่ ซึ่งก็คือคนงาน

กับคิม อิล ซุง ซึ่งเรียกร้องความรักชาติจากประชาชน ด้วยเหตผลบางอย่าง สหายคิมนั้นดูหนุ่ม

ทองแดงมักจะถูกใช้ในรูปปั้น ในภาพนี้คุณจะเห็นคนงาน ชาวนา และผู้เชี่ยวชาญ (กรุณาสังเกตขนาดของคนข้างล่างเทียบกับรูปปั้น: Skyman )

1 ในสองอนุเสาวรีย์ข้าง ๆ อนุเสาวรีย์ของคิม อิล ซุง

ในทุกที่คุณจะเห็นข้อความที่กล่าวถึงท่านผู้นำบนเสา

รูปนี้ดูตลกดี

รูปปั้นถังขยะในสวนสาธารณะ

ประชากรทุกคนจะมีเข็มของคิม อิล ซุง ยกเว้นเด็กทารก คนรับใช้ (เข็มอาจจะถูกทับโดยเสื้อผ้า) และตัวคิม อิล ซุงเอง คุณไม่สามารถซื้อเข็มนี้ได้

คุณจะเห็นได้ในประตูในภาพ X หมายความว่าห้ามเข้า แล้ววงกลมที่ดูเหมือนเปายิงปืนคือเข้าที่นี่

ใน model pioneer palace จะมีคอนเสิร์ทแสดงให้ชม เมื่อการแสดงจบลงจะมีภาพของคิม จอง อิลแสดงให้ดู

ทางเข้ารถไฟใต้ดิน

คุณจะพบประตูกั้นที่สูงแค่เข่า ป้ายข้างหลังอ่านว่า "คิม จอง อิล บุตรแห่งศตวรรศที่ 21"

บันไดเลื่อนมีระยะทางยาว

รถไฟมี 4 ตู้ ประตูนั้นเปิดด้วยมือ แต่ปิดอัตโนมัติ

ดูเหมือนว่าเป้าหมายของสถาปนิคเกาหลีเหนือคือจะทำให้ สถานีรถไฟน่าประทับใจเหมือนกับที่มอสโคว

เป็นเรื่องปกติที่ในเมืองจะไม่มีรถ ทุกคนเดินเท้ากันหมด บางทีการขนส่งมวลชนก็ใช้รถลากหรือแม้แต่รถบัสสองชั้น จักรยานนั้นไม่มีให้เห็นมากนักเนื่องจากราคาแพง โปรดสังเกตุทางม้าลายที่เป็นเอกลักษณ์

ในเปียงยางมีทางลอดข้ามถนนมากมายและทุกคนนั้นเคารพกฏ ถ้าคุณข้ามถนนในที่ห้ามข้ามคุณจะถูกปรับแม้ว่าถนนจะว่างขนาดนี้ก็ตาม

คนขับไม่เคยหยุดให้คนเดินถนน พวกเขาจะบีบแตรไล่ ไกด์ไม่สามารถอธิบายปฏิกิริยาที่เชื่องช่าของคนเดินถนนเมื่อได้ยินเสียงรถ ได้ ในชนบทผุ้คนจะเดินทุก ๆ ที่ที่อยากเดินเหมือนกับว่าไม่มีรถบนถนน

แต่ในอีกด้านหนึ่ง คนขับก็ไม่เคยมองกระจกหรือเหลียวหลังกลับมาดู ด้วยเหตุผลบางอย่างปั๊มน้ำมันถูกซ่อนไว้และผู้โดยสารถูกขอให้ลงก่อนเข้าไป เติมน้ำมัน

ป้ายอวยพรให้ขับปลอดภัย

ที่ป้ายรถเมลล์ คนที่จะขึ้นรถเมลล์นั้นคือคนที่ต้องเดินทางมากกว่า 30 นาที

นี่คือรถในเกาหลีเหนือ

บางทีคุณก็เห็นรถญี่ปุ่นหรือรถเยอรมัน ชาวเกาหลีเหนือรักรถเบนส์ซึ่งเป็นรถยี่ห้อโปรดของผุ้นำเกาหลีเหนือ ในอนุสรณ์สถานของคิม อิล ซุงก็มีรถของเขาจอดอยู่

หมู่บ้านที่คิม อิล ซุงเคยอยู่ตอนเด็ก

โรงแรมซึ่งถูกงดก่อสร้างในปี 1991 คุณไม่สามารถถ่ายภาพได้ถ้าอยู่ใกล้

แต่ถ้าระยะไกลไม่มีปัญหา

ชาวเกาหลีเหนือชอบเดินโดยไขว้มือไว้ข้างหลัง พวกเขาใส่เสื้อสีสด ๆ น้อยมาก เพราะสีโทนเข้มเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ

นักท่องเที่ยวต้องไปเยี่ยมสวนสาธารณะซึ่งชาวเกาหลีเหนือ ห้ามเข้า

ส่วนคนที่ฉลาดกว่าก็จะพักผ่อนอยู่ริมแม่น้ำ

และกระทู้นี้ก็จบลงครับ

ผมดูภาพทั้งหมดแล้ว มีความคิดอยู่สองอย่างเข้ามาในหัว คือ
1. ผมสงสารชาวเกาหลีเหนือ ที่ทุกวันนี้ต้องอยู่ภายใต้ระบบการปกครองสุดโต่ง และบ้าสุดขีด สิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานรวมถึงอากาศแทบไม่พอ แต่ผู้นำของพวกเขาก็ยังบ้าสงครามต่อไป
2. ผมรู้สึกโชคดีที่เกิดมาในประเทศนี้ ถึงแม้ว่าเมืองไทยจะมีอะไรแย่ ๆ หลายอย่างในตอนนี้ แต่อย่างน้อยการอยู่ที่นี้ก็มีความสุขกว่าการอยู่ในหลาย ๆ ประเทศมากนัก

ถึงอยู่แคว้นใด ไม่สุขสำราญ เหมือนอยู่บ้านเราแน่นอนครับ และก็หวังว่าทุกคนจะช่วยกันรักษาประเทศนี้ไม่ให้เป็นแบบเกาหลีเหนือครับ

ภาคผนวก
ในช่วงปี 49 นี้เป็นปีทองของการหลบหนีออกนอกประเทศของชาวเกาหลีเหนือครับ โดยผู้หลบหนีกว่าพันคนจ่ายเงินประมาณ 1 ล้านบาทให้นายหน้า และข้ามพรมแดนที่ติดกับจีนล่องใต้ลงมา โดยติดมากับเรือสินค้า และเข้าสู่ประเทศลาว ก่อนจะมาที่ภาคเหนือของไทยเป็นลำดับสุดท้าย จากนั้นพวกเขาจะมอบตัวกับตำรวจไทย และหลังจากนั้นจะมีองค์กรที่จะมาช่วยเหลือทางกฏหมายรวมถึงจ่ายค่าปรับ และรับไปอยู่ประเทศเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเกาหลีใต้ครับ

สำหรับวันนี้ จบเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ

Reference: http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2007/04/X5319774/X5319774.html