Friday, May 29, 2009

การอุทิศบุญ และ การส่งบุญ

วิธีการส่งบุญ
ท่านขอให้เพิ่ม เงือก หรืออื่นๆอีกซิกแซกเอา ด้วยกรณีที่ใกล้ทะเล
หรือมีปัจจัยที่จะต้องให้ คือ ให้ไว้ก่อนก็น่าจะดี

การนั่งสมาธิ-ภาวนา
ขณะเริ่มนั่งให้แผ่เสียก่อน
(ด้วยเหตุให้แผ่ก่อนเพราะส่วนมากพวกที่จะมากวน คือ พวกวิญญาณชั้นต่ำๆ
บุญที่เกิดจากการนั่งเป็นบุญสูง พวกวิญญาณชั้นต่ำ รับได้ยาก )
โดยอธิษฐานว่า "ขออำนาจบุญ
กุศลที่เกิดขึ้นขณะภาวนา จงสำเร็จ แก่ เจ้ากรรม
นายเวรที่อยู่....ภายใน/นอกร่างกาย เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า
นาค ครุฑ อสูร ยักษ์ คนธรรพ์ เงือก และภูตผี
ปีศาจที่อยู่บริเวณนี้ ขอให้ท่านอย่าได้ขัดขวางการ
ปฏิบัติสมาธิภาวนาของข้าพเจ้า

การอุทิศบุญที่ผู้รับ ได้รับทันที
อย่าเกิน 3 วินาที นับจากปล่อยสิ่งของ
หลุดจากมือ

ขณะทำกิจกรรมใดๆที่ก่อให้เกิดบุญให้อธิษฐานว่า
" บุญนี้ยกให้เจ้ากรรมนายเวรที่มาเบียดเบียนข้าพเจ้า"
กรณีต้องการระบุให้แคบถึงกรรมที่ได้รับใกล้ชิดตัวให้ใช้
คำว่า "นายเวร" แทนคำว่า เจ้ากรรมนายเวร

เบิกบุญจากสวรรค์
ขออำนาจของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
จงบันดาลให้บุญกุศลที่ข้าพเจ้าเคยสร้างมาตั้งแต่
อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรที่มา
เบียดเบียนข้าพเจ้า....(เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า เทวดา
ผู้ดูแล....(พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง บ้าน ฯลฯ ใกล้ตัวออกไป.......
นาค ครุฑ อสูร ยักษ์ คนธรรพ์ เงือก และภูตผี
ปีศาจที่อยู่บริเวณบ้านของข้าพเจ้า)

http://www.geocities.com/watsamyaek/

- - - -ให้ส่งภายใน 3 วินาที - - - - -
มีผู้เข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่เป็นระยะๆจึงขออนุญาตทำความเข้าใจ ดังนี้ . . .
3 วินาที เป็นเวลาให้ เริ่มส่ง ให้ทันภายใน 3 วินาที นับแต่สิ่งของหลุดจากมือโดยให้กล่าวติดต่อไปนานเท่าไหร่ก็ได้ หากยังมีสติกล่าวต่อเนื่องโดยไม่สะดุด แต่ถ้าสะดุดเกินกว่า 3 วินาที ให้แสดงว่าการส่งในครั้งนั้นสิ้นสุดลงทันที ณ ตรงนั้น ก็ให้เบิกใหม่แล้วส่งต่อ หรือส่งใหม่ได้ต่อไป . . .

Monday, May 25, 2009

มนุษย์เรามีเวลาสั่งสมบุญเพียง 13,687 วัน เพื่อเดินทางต่อไปยังภพหน้า

มนุษย์เรามีเวลาสั่งสมบุญเพียง 13,687 วัน เพื่อเดินทางต่อไปยังภพหน้า


สมัย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระชนชีพ อายุของมนุษย์ในยุคนั้นคือ 100 ปี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว อายุขัยของมนุษย์เมื่อล่วงเลยไปทุกๆ 100 ปี อายุมนุษย์จะลดลง 1 ปี เมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว เพราะฉนั้นอายุขัยของมนุษย์ในปัจจุบันได้ดลงไปแล้ว 25 ปี

อายุ โดยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 จนถึงวันนี้ พ.ศ. 2549 คือ 75 ปี ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้านับเวลาเป็นวันคือ 27,375 วัน ถ้านับเป็นสัปดาห์คือ 3,600 สัปดาห์ ถ้านับเป็นเดือนคือ 900 เดือน ถ้านับเป็นชั่วโมงคือ 657,000 ชั่วโมง ถ้านับเป็นนาทีคือ 39,420,000 นาที ถ้านับเป็นวินาทีคือ 2,365,200,000 วินาที
เท่ากับว่าถ้าเรานับ 1 ถึง 2,365,200,000 เราก็จะแก่ตายพอดี สมการคือ
(60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 365 วัน x 75 ปี = 2,365,200,000) หรืออาจจะใช้อีกสมการหนึ่งคือ
(60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 30 วัน x 12 เดือน x 75 ปี = 2,332,800,000) ตัวเลขไม่เท่ากันกับด้านบนเนื่องจาก บางเดือน มี 28 วัน บางเดือนมี 29 วัน บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน ไม่แน่นอนแต่ก็ใกล้เคียงกันระหว่าง 2 สมการ

วัน หนึ่งๆมี 24 ชั่วโมง มนุษย์เราจะเสียเวลานอนเฉลี่ย 8-12 ชั่วโมง / วัน (ยังไม่รวมแอบหลับตอนกลางวัน) เพราะฉนั้นเราจะมีเวลาใช้ชีวิตกันจริงๆเพียงครึ่งหนึ่งของเวลาจริงเท่านั้น

เมื่อ ไม่นับเวลาที่เรานอน ตั้งแต่เกิดถึงตายเราจะมีเวลาเพียงแค่ 13,687 วัน หรือ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน หรือ 328,500 ชั่วโมง หรือ 19,710,000 นาที หรือ 1,182,600,000 วินาทีเท่านั้นเอง (เพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว) ยิ่งเวลาที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ก็จะทำให้เราเสียเวลาไปอีกมากต่อมาก

มนุษย์ ในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องแก่ตาย ไม่จำเป็นต้องอยู่ครบอายุ จะตายก่อนเมื่อใดก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตชาติ บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา บางคนตายเมื่ออายุ 7 ชั่วโมง บางคนตายเมื่ออายุ 7 วัน บางคนตายเมื่ออายุ 7 สัปดาห์ บางคนตายเมื่ออายุ 7 เดือน บางคนตายเมื่ออายุ 7 ปี แล้วคุณผู้อ่านทั้งหลายใช้เวลามาเท่าไรแล้ว จะเหลืออีกกี่วัน ถ้าคิดว่าตนเองจะอยู่ครบอายุ 75 ปี นั่นถือว่าประมาทอย่างยิ่ง (เป็นความคิดที่โง่เขลาเหลือเกิน) ชีวิตมนุษย์มีน้อยนัก อย่ามัวประมาทอยู่เลย รีบทำบุญทำกุศลเพื่อเป็นเสบียงไปภพหน้า จะเป็นการใช้เวลาในโลกนี้ ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

แต่ก็มี มนุษย์บางจำพวกชอบพูดว่า "เดี๋ยวรอให้แก่ก่อนแล้วค่อยทำบุญ" ...ช่างคิดไปได้ กรรมอะไรมันบังตาทำให้คุณคิดเช่นนั้น แล้วคุณรู้ได้อย่างไร ว่าจะอยู่ถึงแก่ อดีตชาติของคุณอาจจะเคยก่อกรรมทำเข็ญบางอย่างมา จนกรรมนั้นตามมาทันในชาตินี้ หรือ เดี๋ยวนี้ ซึ่งคุณอาจจะเสียชีวิต อาจจะหัวใจวายตาย อาจจะเส้นเลือดตีบ หรือตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ภายหลังจากอ่านบทความนี้จบก็เป็นได้ กรรมมันจัดสรรมาแล้ว ตั้งแต่คุณ "จุติ" จากชาติที่แล้ว จนคุณมา "ปฏิสนธิ" ในชาตินี้ ว่าคุณจะต้องตายเมื่อไร วันไหน เวลาไหน ซึ่งมนุษย์ทุกคนตายได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ดังคำกล่าวที่ว่า "ยามถึงคราว วาวายชีวาวัณ ไม้จิ้มฟันจิ้มเหงือกดันเสือ_กตาย"

โอกาส ที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นยากเต็มที อุปมาเหมือนมีเต่าตาบอดตัวหนึ่งอยู่ในมหาสมุทร ในมหาสมุทรมีห่วงยางอยู่ 1 ห่วง ในเวลา 100 ปี เต่าตาบอดตัวนี้ จะขึ้นมาหายใจ 1 ครั้ง แล้วให้คอเต่าตัวนี้ ลอดห่วงพอดี ซึ่งยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ (โอกาสเป็นไปได้ไม่ถึง 0.00000001 %)

การ เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากกว่าการอุปมานี้เสียอีก เพราะต้องอาศัยผลบุญในอดีตชาติ เช่น การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ที่สั่งสมมาจำนวนมากๆ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ได้แล้ว ก็จะพบกับความยากอีก 4 อย่างตามมาอีก ซึ่งความยากที่สุด 4 อย่างตามที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้คือ
1)การได้เกิดเป็นมนุษย์ ในชมพูทวีป (ที่มีอาการครบ 32)
2) การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าในกัปป์นั้นๆ (ยุคปัจจุบันเรียกว่า "ภัทรกัปป์" หมายถึงกัปป์ที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์ ได้แก่ พระกกุสัณธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสะปะ, พระโคโตมะ, และพระศรีอริยะ)
3)การเกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่
4) การได้ศึกษาพระพุทธศาสนา (แก่นคือ การเจริญภาวนา "สติปัฏฐาน 4" โดยพิจารณา กาย-เวทนา-จิต-ธรรม เป็นอารมณ์ทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน จนเกิด "ญาณ 16" ซึ่งจะนำเราไปสู่ความเป็น "พระโสดาบัน")

พวก เราในปัจจุบันนั้นได้มาครบทั้ง 4 อย่างแล้ว เป็นความยาก 4 อย่างที่มาบรรจบกัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เราจะปล่อยให้โอกาสดีๆแบบนี้ผ่านไปเฉยๆเหรอ (ยังมีมนุษย์ตามืดบอดอีกจำนวนมากที่มองเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกิน) ส่วนมนุษย์ที่มีปัญญาอย่างเราๆ ควรรีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด และการได้มาซึ่งบุญตามพระไตรปิฏกมี 10 ประการดังนี้ (เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 10)
1)ทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการบริจากทาน
2)สีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล
3)ภาวนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา (การเจริญ "สติปัฏฐาน 4" จนได้ "ญาณ 16")
4)อปจายนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงตนเป็นคนอ่อนน้อม
5)ไวยยาวัจจมัย บุญที่สำเร็จด้วยการขวานขวายช่วยในกิจการที่ชอบ
6)ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
7)ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
ธัมมสวนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการฟังพระสัทธรรม
9)ธัมมเทสนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา
10)ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความรู้ความเห็นแห่งตนให้ตรง (เชื่อว่า บาป-บุญมี ,นรก-สวรรค์มี ,ชาตินี้-ชาติหน้ามี)

อย่า ปล่อยให้เวลาแต่ละวันสูญเปล่าไปกับเรื่องไร้สาระแบบคนตามืดบอดเลย ถ้าตายแบบคนตามืดบอดไม่เคยสั่งสมบุญ ต้องไปเกิดในอบายภูมิ (นรก-อสุรกาย-เปรต-เดรัจฉาน) ถ้าตายแบบคนมีปัญญา จักไปเกิดในสุคติภูมิ (มนุษย์-เทวโลก-พรหมโลก) ผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงรู้ไว้ ว่ายังมีบุญอีกตั้ง 10 ประเภทให้ผู้มีปัญญาเลือกทำกันตามจริตและอัธยาศัย

โลก มนุษย์ใบนี้ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะมาตั้งรกรากอยู่กันแบบถาวร แต่เป็นเพียงสนามสอบเท่านั้น เรามาอยู่กันชั่วครั้งชั่วคราว สอบเสร็จก็ต้องจากไป โดยใช้ผลบุญ-ผลบาป เป็นตัววัดว่าสอบได้หรือสอบตก ...ถ้าคุณต้องการแสวงหาความสุขที่แท้จริงและค่อนข้างยั่งยืน คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากๆ (คะแนนคือบุญกุศล) แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "เทวโลก" ซึ่งเป็นโลกแห่งความสุขแท้ และมีอายุขัยยาวนานเกินคณานับ ...แต่ถ้าคุณต้องการความสงบทางจิตแบบเหนือชั้น คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากกว่านั้นขึ้นไปอีก (คะแนน คือ "ฌาณสมาบัติ" หรือ สมาธิขั้นสูงระดับ "ปฐมฌาณ" ขึ้นไป) แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "พรหมโลก" ...อย่ามายึดติดในโลกมนุษย์ซึ่งมีแต่ความทุกข์ และอายุน้อยนิดใบนี้เลย

ทรัพย์ สมบัติในโลกใบนี้ที่เราหลงผิดไปแสวงหามาแทบตาย แต่อนิจจัง อายุมนุษย์ช่างน้อยเหลือเกิน ไม่ทันได้ใช้ทรัพย์เหล่านั้นก็ต้องมาตายเสียก่อน และทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถติดตัวเราไปได้อีกต่างหาก แต่เราเอาไปได้อย่างเดียวคือ บุญ-บาป เท่านั้น

ท่าน ผู้มีปัญญาเห็นธรรมทั้งหลายโปรดพิจารณาว่า ที่เราขวนขวายแสวงหาทรัพย์สมบัติต่างๆนาๆ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่สามารถนำติดต่อไปได้นั้น เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่ คนรวยก็ตาย คนจนก็ตาย ทำไมเราไม่เอาเวลาไปทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นอริยทรัพย์ สามารถนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ

โปรด ใช้เวลาในโลกใบนี้ในแต่ละนาทีอย่างคุ้มค่า เพราะเราเหลือเวลากันอีกน้อยแล้ว ให้สมกับความยากที่ได้เกิดบนโลกใบนี้ ถ้าเราไม่รีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาเกิดบนโลกใบนี้อีก หรืออาจจะไม่ได้มาอีกเลยก็เป็นได้ ถ้าคุณประมาทปล่อยให้เวลาแต่ละวันผ่านไปเฉยๆ ผ่านไปกับเรื่องไร้สาระ ผ่านไปกับเรื่องไม่มีแก่นสาร ครั้งนี้คุณอาจจะได้เป็นมนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว !!!

ก่อน จะสายเกินไป คุณมีเวลาทำบุญทำกุศลจริงๆทั้งชีวิตโดยไม่นับเวลานอนเพียงแค่ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน เท่านั้นเอง (หรือเพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว) โปรดใช้เวลาเท่าที่มีนี้ อย่างคุ้มค่าที่สุด เท่าที่จะทำได้ !!!

ขอ ทิ้งท้ายไว้ให้คิด เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ก็จะมาเสียดายว่า ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยทำบุญไว้เลย มาคิดตอนนั้นก็สายไปแล้ว ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมในนรกจากบาปกรรมที่ตัวเองทำระหว่างตอนเป็นมนุษย์ ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์ เราจะได้กลับมาแก้ตัวบนโลกใบนี้อีก

พวก มนุษย์ที่ชอบพูดว่า "บุญ-บาป ไม่มี" หรือที่ชอบพูดว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" ...คือคนที่กลัวว่าตนเองจะต้องไปรับกรรมในนรกจากบาปกรรมของตัวเอง จึงพยายามสรรหาคำพูดมาปลอบใจตัวเองต่างๆนาๆ ...กฏแห่งกรรมมันเป็นกฏธรรมชาติ มันให้ผลไปตามธรรมชาติ ถึงท่านจะสรรหาคำอะไรมาปลอบใจตังเองก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นหรอกครับ ..หว่านเมล็ดพันธุ์เช่นไร ก็ต้องได้ผลเช่นนั้น ปลูกมะม่วงก็ต้องได้ผลมะม่วง ท่านจะมาพูดว่า "มะม่วงอยู่ในใจอย่างนั้นหรือ" ท่านสร้างกรรมอะไรไว้ ก็ต้องได่รับกรรมเช่นนั้น ท่านมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อ แต่กฏแห่งกรรมมันไม่ขึ้นกับความเชื่อของท่านหรอก เวลากฏแห่งกรรมมันให้ผล มันไม่ได้มาถามท่านหรอกว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ

ถึง ท่านจะนับถือศาสนาอะไร มันเป็นเพียงชื่อเรียก เหมือนชื่อคนน่ะครับ เราสมมุติกันขึ้นมา ซึ่งมันไม่มีผลอะไรกับกฏแห่งกรรมเลย เวลากฏแห่งกรรมมันให้ผล มันไม่ได้มาถามท่านหรอกว่าท่านนับถือศาสนาอะไร มันไม่ได้มาถามท่านหรอกว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
ปัญญาของมนุษย์เปรียบเหมือนบัว 4 เหล่า จะให้ทุกๆคนมีสติปัญญาที่จะเข้าใจ ธรรมะ ของพระพุทธองค์นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
เพราะ เหตุแห่งความโง่เขลานี้ คนที่ตายจากโลกนี้โอกาสจะกลับมาเป็นคนอีก เทียบเท่าฝุ่นที่ปลายเล็บ เมื่อเทียบกับฝุ่นบนพื้นปฐพี คนที่จะไปสวรรค์เท่ากับเขาของโค เมื่อเทียบกับขนของโค มนุษย์เกือบทั้งหมดตายไป จะไปเกิดใน นรก-เปรต-อสุรกาย-เดรัจฉาน

7 ขั้นตอนสู่การนอนอย่างพระอรหันต์

7 ขั้นตอนสู่การนอนอย่างพระอรหันต์
1.ลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงทันทีที่ ตื่น อย่า มัวโอ้เอ้ งัวเงียพ่ายแพ้ให้ความขี้เกียจ เพราะการตื่นขึ้นเองโดยไม่มีใครปลุกเป็นการส่งสัญญาณให้คุณรู้ว่า สมองได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว การนอนนานกว่านั้นจึงถือเป็นความขึ้เกียจ
2. หมั่นเจริญสติและฝึกสมาธิระหว่างวัน เพื่อจัดสรรระเบียบสมองและลดการปรุงแต่งอารมณ์
3. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้สมองและร่างกายตื่นตัวก่อนนอน เช่น การดูหน้งแอคชั่น การออกกำลังกาย การดื่มเครืองดื่มที่มีคาเฟอีน การคิดเรื่องงาน ฯลฯเพื่อให้ร่างกายพร้อมเข้าสู่การนอนอย่างสงบและมีสติ
4. นอนอย่างปล่อยวาง ทำจิตใจให้ว่างก่อนเข้านอน ด้วยการสะสางงาน และวางแผนสิ่งที่จะต้องทำวันรุ่งขึ้นให้เรียบร้อย อาจวางกระดาษและดินสอไว้ข้างเตียงเพื่อจดสิ่งที่นึกขึ้นได้ จะได้ไม่ต้องคิดวนไปเวียนมาเพราะกังวล
5. จัดระเบียบการนอน มีกำหนดเวลาการนอนและตื่นที่ชัดเจนเพื่อสร้างวินัยให้ร่างกาย
6. นอนในที่เย็น เงียบ และมืด ปราศจากแสง เสียงและสิ่งรบกวนที่ทำลายสมาธิในการนอน
7. หลับไปด้วยจิตอันนิ่ง สงบ และเป็นกุศล แทนที่จะหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะคิดปรุงแต่งสารพัน ลองหันมาสงบสติอารมณ์ก่อนนอนด้วยกุศโลบายง่ายๆ 2 วิธีนี้

วิธีที่ 1 นอนสมาธิตามหลักสติปัฎฐาน
1. นอนหงายมือวางข้างลำตัว
2. นำไปจดจ่ออยู่ที่หน้าท้อง
3. หายใจเข้าให้รู้ว่าหน้าท้องพอง หายใจออกให้รู้ว่าหน้าท้องยุบ
4. มีสติจดจ่ออยู่ที่การเคลื่อนไหวของหน้าท้องจนกว่าจะหลับไป
5. พยายามสังเกตให้ได้ว่าหลับไปในขณะที่หน้าท้องพองหรือยุบ

วิธีที่ 2 หลับด้วยการผ่อนคลายเชิงลึกในแบบโยคะ
1. นำใจไปจดจ่ออยู่กับการผ่อนคลายส่วนต่างๆของร่างกายโดยเริ่มตั้งแต่ศรีษะ
2. ผ่อนคลายทุกส่วนของอวัยวะที่ใจจดจ่ออยู่ จนกระทั่งไม่รู้สึกถึงความตึงเครียดใดๆที่อวัยวะนั้นแล้วจึงเลื่อนใจไปยังอวัยวะข้างเคียง
3. หากไม่แน่ใจว่าอวัยวะนั้นผ่อนคลายพอแล้วหรือยัง ไห้หายใจเข้าลึกๆแล้วเกร็งอวัยวะนั้นให้ตึงที่สุดพร้อมกับกลั้นใจไว้ แล้วจึงหายใจออกเต็มที่พร้อมกับผ่อนคลาย
4. ค่อยๆผ่อนคลายไล่ไปทีละอวัยวะ จนกระทั่งถึงปลายเท้าแล้วจึงวนกลับขึ้นมาจนถึงศรีษะอีกครั้ง
5. ทำเช่นนี้จนกว่าจะหลับไปอย่างผ่อนคลายและมีสติ



ขอขอบคุณบทความจากหนังสือซีเคร็ต อนุโมทนาบุญครับ

อานิสงส์การสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ

http://talk.mthai.com/uploads/2009/05/24/13879-attachment.gif

นำข้อดีของการสวดมนต์ นั่งสมาธิ มาฝาก~

หลายๆ คน คงรู้แต่ว่าการสวดมนต์นั้น “ดี” แต่ “ดีอย่างไร” นั้น มาดูกัน~ หากพูดเรื่องการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิทุกคนก็นึกถึงพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหลายที่อยู่ตามวัดวาอารามหรือผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น จริงๆ แล้วการสวดมนต์ไหว้พระควรเป็นข้อปฏิบัติประจำของเหล่าชาวพุทธทั้งหลาย โดยเฉพาะการสวดมนต์ไหว้พระในวันวันธรรมสวนะ หรือวันพระหากเราพิจารณาความสำคัญของการสวดมนต์โดยเปรียบเทียบกับทุกศาสนา เราจะพบว่ามีปฏิบัติกันถ้วนหน้าทีเดียวชาวคริสต์ต้องเข้าโบสถ์สวดมนต์ทุกวัน อาทิตย์อิสลามิกชนก็จะมีการสวดมนต์ทุกวันสำคัญ และมีการละหมาดวันละ 6 เวลาทีเดียวเบื้องต้นน่าจะเห็นพ้องต้องกันว่าการสวดมนต์เป็นสิ่งที่ดีแต่คำ ถามที่มักจะได้ยินเสมอว่าก็คือ ดีอย่างไรหากเรามองย้อนไปในอดีตตอนพวกเราๆ เป็นเด็ก จะพบว่าในรุ่นปู่ย่า ตายายของเราแทบจะทุกคนที่จะไปวัดเพื่อสวดมนต์ ไหว้พระในวันพระเสมอและยังมีการสวดมนต์ที่ค่อนข้างยาวทีเดียวก่อนนอนทุกวัน หลายผู้อาจจะไปนั่งพนมมือด้วย หลายผู้ก็นอนฟังแล้วก็หลับไปหลายผู้อาจถูกปลูกฝั่งให้ปฏิบัติเอาเยี่ยงบ้างก็ มีผมเคยถามท่านทั้งหลายในรุ่นนั้นว่าสวดมนต์ ไหว้พระแล้วได้อะไร ก็มักจะได้คำตอบว่า “ มันดี ”ทำให้ชีวิตดีหรือชีวิตมีสิริมงคล หรือจะได้มีคุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง หรือ อีกเหตุผลอีกหลายประการซึ่งฟังแล้วไม่เป็นรูปธรรม จับต้องไม่ได้ คือเข้าใจยากนั่นแหละคนสมัยนี้ชอบใช้เหตุผลที่ค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์เสีย ด้วยทำให้มรดกพุทธศาสนา ( สวดมนต์ ไหว้พระ)จึงไม่ได้รับการสืบทอดและเป็นที่นิยมกันในคนรุ่นปัจจุบันบวรธรรม สถานเป็นอีกสำนักหนึ่งที่มุ่งเน้น สั่งสอนให้ลูกศิษย์สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิแผ่เมตตาทุกวันพระและให้สวดมนต์ก่อนนอนโดยให้เป็นกิจปฏิบัติที่ สำคัญลำดับต้นๆ เลยทีเดียว แม้ว่าการสวดนั้นจะสวดได้แบบปากเปล่าหรือจะต้องดูหนังสือสวดก็ตามสำคัญอยู่ ที่การสวดมนต์นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความตั้งใจจริง มีสมาธิที่ดีนำจิตไปจับที่ตัวอักษรที่จะสวดออกมาอย่างจดจ่อ เปล่งเสียงให้ดังฟังชัดเจนโดยครูบาอาจารย์ได้อรรถาธิบายความถึงอานิสงส์ของ การสวดมนต์ไว้ ดังนี้

1. อานิสงส์ที่เกิดกับสุขภาพร่างกาย
ผู้ ที่นิยมสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิสม่ำเสมอจะก่อให้เกิดผลดีต่อจิตยิ่งจะมีความผ่องแผ้วสว่าง บริสุทธิ์ จิตที่สว่างจะทำให้อารมณ์ผ่องใส ไม่โกรธง่ายไม่เครียด แม้ถ้าจะต้องใช้ความคิดก็จะคิดแบบมีเหตุมีผลการที่จิตผ่องแผ้วถือเป็นโอสถ ทิพย์ที่สำคัญต่อร่างกายที่เดียวส่งผลให้ร่างกายสร้างและหลั่งฮอร์โมนในร่าง กายที่เป็นปกติ ทำให้ร่างกายสมดุลเมื่อร่ายกายสมดุลบุคคลนั้นจะอายุยืน คนที่มีอารมณ์ดี ไม่เครียดจะอายุยืนยาวเช่นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นสรณะจะอายุ ยืนบางองค์เกินร้อยปีก็มีหรือคนโบราณที่ชอบสวดมนต์ไหว้พระจะอายุยืนยาวมาก ไม่มีต่ำกว่าแปดสิบปี ซึ่งต่างจากคนสมัยปัจจุบันที่แก่เร็วอายุสั้น เฉลี่ยแล้วไม่เกินหกสิบห้า หรือ อย่างมากก็เจ็ดสิบปี การมีจิตที่ผ่องใสเสมือนหนึ่งมียาอายุวัฒนะขนานเอกไว้ในตัวเอง ลักษณะนี้ ครูบาอาจารย์ท่านให้เรียกว่า“ การนำปัจจัยภายในมาสร้างอายุวัฒนะ”

2. อานิสงส์ให้เกิดจิตที่แกร่ง
หลัง การสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิ จะทำให้จิตมีกำลัง เป็นการบำรุงจิตจิตที่มีกำลังจะเข้มแข็ง ไม่อ่อนไหวง่าย สติดี หนักแน่นการมีจิตเป็นสมาธิสติจะคงอยู่เสมอ จะก่อให้เกิดปัญญาตามมา ปัญญาหมายถึงระบบการคิดที่มีสติคอยกำกับการคิดจึงอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล ไม่มีอารมณ์เข้ามาเจือปน ส่วนความคิดที่ขาดสติเราเรียกว่า “อารมณ์” คนสมัยใหม่ที่ไม่นิยมนั่งสมาธิ ส่งผลให้สติไม่มั่นคงโกรธง่าย โมโหร้าย ขี้หงุดหงิด ไม่อดทนต่อแรงกดดันทั้งปวงมีอารมณ์แปรปรวนไม่สม่ำเสมอ เหตุเพราะจิตมีอ่อนกำลังเราจึงพบว่าสถิติการฆ่าตัวตายของคนสมัยนี้ จึงมีอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้นรูปธรรมข้างต้นเหล่านี้คงจะพอแสดงให้เห็นถึงความต่างระหว่างจิตสอง ลักษณะคือจิตแกร่งกับจิตอ่อนได้เป็นอย่างดีให้เปรียบเทียบง่ายๆ ว่าการที่เราต้องรับประทานข้าวปลาอาหารเพราะอาหารเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับ ชีวิตฉันใดก็ฉันนั้น สมาธิก็จะเป็นอาหารที่สำคัญของจิต เช่นกัน

3. ได้อานิสงส์จากการได้โปรดดวงจิตวิญญาณผู้ ที่สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิถึงขั้นเป็นผู้มีจิตใสสว่างนั้นเป็นที่โปรดปราน ของพวกวิญญาณเร่ร่อนยิ่งนัก เพื่อปรารถนาจะขอส่วนบุญส่วนกุศลให้ตนได้ร่มเย็น หรือพ้นทุกข์ หรือแม้กระทั่งหลุดพ้นจากการถูกจองจำโดยปกติบทสวดมนต์จะมีความขลังอยู่ในตัว เพราะ เป็นอักขระภาษาที่มีมนต์ขลังบางบทเป็นพระคาถาที่มีอานุภาพสูง โดยเฉพาะบทพุทธบารมี บทพระคาถาชินบัญชรมีอานุภาพสูง ยิ่งผู้สวดมีสมาธิจิตที่ดีแล้ว พลังแห่งเมตตาพลังแห่งอานุภาพจะแผ่กระจายปกคลุมไปไกล ด้วยอานุภาพของพลังจิตผู้สวดเองเมื่อเสียงสวดและอักขระไปกระทบ หรือสัมผัสกับดวงจิตวิญญาณใดพลังเมตตาและพลานุภาพแห่งมนตรานี้จะกระตุ้นให้ ดวงจิตวิญญาณเกิดความระลึกได้เมื่อระลึกได้ก็จะสามารถดูดซับพลังบารมีทั้ง ปวงจากบทสวดอย่างเต็มที่ดวงจิตที่มืดบอดก็จะสว่างผ่องใสขึ้นและหลุดพ้นจาก บ่วงพันธนาการในที่สุดสภาพโดยธรรมชาติของวิญญาณทั้งหลายนั้น พวกเขาจะถูกจำกัดหรือถูกควบคุมพื้นที่เสมือนถูกจองจำตีตรวน เหมือนนักโทษที่ติดอยู่ในคุกบางคนก็สำนึกได้เอง บางคนต้องได้รับการอบรมสั่งสอนก่อนจึงจะเกิดสำนึกเช่นกันดวงวิญญาณหลายดวง เกิดสำนึกในความดี ความชั่วที่ตนได้กระทำได้เองเมื่อสำนึกได้ก็จะสามารถเปิดรับธรรมะได้เลย ทันที การสำนึกได้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งดังที่คนโบราณได้สั่งสอนบอกต่อกันมาว่า ก่อนตายให้นึกถึงพระ ความหมายนี้ก็คือให้เกิดรู้สำนึกนั่นเอง แม้ถ้าคนเราสำนึกได้ในวินาทีสุดท้ายขณะใกล้จะตายก็ถือว่ามีโอกาสที่จะรับรู้ สัมผัสธรรมได้ ( จิตเปิด) มีโอกาสหลุดพ้น(จากการจำกัดบริเวณ )ได้และภาษาอักขระในบทสวดดวงจิตวิญญาณสามารถก็สามารถเข้าถึงได้ให้ดวงจิต วิญญาณเข้าใจได้ ก่อให้เกิดความกระจ่างได้และยิ่งเมื่อเราแผ่เมตตาตามอีกเขาก็จะได้อานิสงส์ มากยิ่งขึ้นดวงจิตวิญญาณเหล่านั้นชุ่มเย็นเป็นสุขเสมือนเรานำน้ำที่เย็นชโลม รดให้กับผู้ที่หิวกระหายลุ่มร้อนมานานปี จนสุดท้ายก็จะสามารถหลุดพ้นไปได้การที่เราทำให้วิญญาณตกทุกข์ได้ยาก ทุกข์ทรมาน ได้รับความสุข สว่างสดใส หรือกระทั่งหลุดพ้นไปได้ นับว่าได้อานิสงส์มหาศาลทีเดียวสภาพความจริงในภพแห่งวิญญาณนั้น ถ้ามนุษย์มองเห็นก็จะพบว่ามีวิญญาณเร่ร่อน (สัมภเวสี )จำนวนมากมายทีเดียว มีทุกหนทุกแห่ง เช่น คนมีจิตสว่างบางคนไปนอนที่ไหนก็จะมีวิญญาณมาดึง มาปลุก มาทำให้ไม่สามารถนอนได้ปรากฏการณ์เช่นนี้ให้ท่านเข้าใจเป็นเบื้องต้นว่า เขามาขอส่วนบุญเขาเห็นจิตของท่านที่สว่าง แสดงว่าท่านเป็นมีบุญที่สามารถแผ่ให้กับเขาได้ อย่าตกใจอย่ากลัวให้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี วิธีปฏิบัติก็คือ สวดมนต์ แผ่เมตตาให้เขาเสียแล้วท่านจะนอนหลับฝันดี เขาจะเฝ้าดูแลท่านตลอดทั้งคืนบางที่อาจให้โชคลาภกับท่านเสียอีก สถานที่บางแห่งวิญญาณอยู่กันเหมือนตัวหนอนเหมือนฝูงแมลงวัน ยิ่งดวงวิญญาณอยู่กันมากมายเช่นนี้ผู้สวดมนต์ แผ่เมตตาภาวนาสมาธิให้ ก็จะได้อานิสงส์มากเท่าทวีคูณ การสวดมนต์ที่แท้ก็คือการแผ่เมตตานั่นเอง

การ ทำจิตให้นิ่งเป็นสมาธิบ่อยๆเสมือนเราอยู่ในที่สูง อานิสงส์ที่เราสร้างบุญกุศลที่เราทำจะเปรียบเสมือนเราเทน้ำให้ไหลลงสู่ เบื้องล่างผู้อยู่เบื้องล่างที่หิว กระหายก็จะรอรับอย่างชุ่มเย็น มีความปีติยินดี


4. ได้อานิสงส์จากโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายนอก จากดวงจิตวิญญาณแล้วยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ปรารถนาจะได้รับพลังเมตตาบารมีจาก การสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิเช่นกัน ซึ่งก็คือพวกสัตว์เล็ก สัตว์น้อยสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นแหละ พลังแห่งการแผ่เมตตาบารมีนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่เป็นพลังแห่งพุทธานุภาพ เป็นพลังฝ่ายบุญกุศล การสวดมนต์ ไหว้พระนั่งสมาธิและแผ่เมตตาบ่อยๆ จะทำให้จิตมีความแข็งแกร่งพลังแห่งการแผ่เมตตาก็จะมีอานุภาพที่แรงครอบคลุม พื้นที่ได้กว้างขวางยิ่งขึ้นนั่นย่อมหมายถึงไปสู่สรรพสัตว์มากจำนวนยิ่งขึ้น ตามเบื้องต้นสามารถพิสูจน์ได้จริงไม่ว่ามด ยุง แมลง ฯลฯ ล้วนต้องการ และแสวงหาพลานุภาพแห่งเมตตาอย่างหิวโหยจริงเช่นผู้ปฏิบัติธรรมบางคน พบว่ามีมดขึ้นมาเกาะบนกลดขณะที่ท่านกำลังที่ภาวนาอยู่จำนวนมากหรือมียุงมา กัดจำนวนมากขณะนั่งสมาธิ แต่เมื่อท่านกล่าวแผ่เมตตาให้แล้วพวกเขาเหล่านั้นก็จะจากไปของเขาเอง ไม่ทำร้ายไม่รบกวนเราอีกเหตุเพราะพวกเขาได้รับแล้วนั่นเอง ลักษณะเช่นนี้จะเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ครูบาอาจารย์ที่กล่าวไว้ว่า พวกมด ยุง แมลงนั้นพวกเราสามารถพูดกับเขาได้นั่นเองเมื่อเราทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ ได้ทุกข์หลุดพ้นจากทุกข์ช่วยให้สรรพสัตว์ที่ได้สุข ให้ได้สุขยิ่งๆขึ้นไป เราก็ได้อานิสงส์แห่งการนี้ตอบคืนอานิสงส์เช่นนี้ เป็นอานิสงส์ที่ก่อให้เกิดบารมีที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว เราเรียกว่า“ อานิสงส์ทางทิพย์”


5. ได้อานิสงส์จากพรเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุก ครั้งที่เราสวดมนต์ หลังจากสวดบทบูชาพระรัตนตรัยแล้วเราก็มักจะสวดบทชุมนุมอัญเชิญเทวดาเสมอ (สักเคฯ)เป็นการบอกกล่าวอัญเชิญเทวดาให้มาร่วมพิธีการสวดมนต์ เทวดาเทพเทพารักษ์ทั้งหลายโปรดการฟังสวดมนต์มากเพราะถือเป็นพิธีกรรมแห่ง พุทธที่มีมนต์ขลังมีความศักดิ์สิทธิ์ ดังที่ได้เรียนไปแล้วบทสวดทุกบทเป็นอักขระ มีพลังพุทธานุภาพสูงใครได้ยินได้ฟังได้ซึมซับก็จะเกิดความสว่างไสว เกิดพลังบารมีมนุษย์ที่สวดมนต์ไหว้พระประจำเทวดา จึงเป็นที่โปรดปรานของเทวดาไปที่ไหนมีเทวดาปกป้องคุ้มครอง ให้โชคให้ลาภให้ความมั่งมีสีสุขคน โบราณจึงย้ำหนักหนาให้ลูกหลานสวดมนต์ก่อนนอนนี่คือความหมายที่แท้จริงของการ สวดมนต์ก่อนนอนเทวดาก็ต้องการสร้างบารมีของตนให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปเช่นกัน เมื่อเราสวดมนต์ ไหว้พระแผ่เมตตา ทำให้เทวดาได้บารมีเพิ่ม ได้ความสว่างเพิ่มเทวดาก็จะอำนวยอวยพรชัยมงคลให้กับเรา เป็นการตอบแทนคุณเรา หากเราสังเกตให้ดีเราจะพบว่า ทุกพิธีกรรมทางพุทธศาสนาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันจะต้องเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเทวดาเสมอ ก่อนเริ่มพิธีกรรมจึงต้องมีการสวดบวงสรวงอัญเชิญทวยเทพเทวดาสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์มาร่วมพิธีก่อนเสมอ พุทธองค์ทรงสำเร็จมรรคผลด้วยทวยเทพเทวดาช่วยเหลือ ชี้แนะ ในทางกลับกันเทวดาก็พึ่งพาธรรมจากพุทธองค์ หรือพุทธสาวกเพื่อสร้างบารมี ชี้ทางสว่างเสมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าองค์ทวยเทพเทวากับพุทธศาสนาจึงแยก กันไม่ออก เป็นของคู่กัน


6. สามารถแผ่เมตตาช่วยคนเจ็บป่วยได้อานิสงส์การแผ่เมตตานั้น นอกจากสรรพสัตว์และดวงวิญญาณทั้งหลายแล้วมนุษย์ทั่วไปที่นอนเจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานก็สามารถรับอานิสงส์ของการแผ่เมตตาได้โดย ให้เรากล่าวว่า ดังนี้“ อานิสงส์ของการสวดมนต์ ไหว้พระนั่งสมาธิ ของข้าพเจ้าในวันนี้ ขอส่งให้ (ชื่อ-สกุล ผู้ป่วย)”เพียงเท่านี้เองก็จะก่อให้เกิดผลดีต่อผู้ป่วยมหาศาลโดยเฉพาะผู้แผ่ เมตตาเป็นผู้บุญบารมีมากยิ่งก่อให้เกิดผลเร็วขึ้นโดยมาตรฐานที่จะให้เกิดผล สมบูรณ์ ให้ทำติดต่อกัน 33 วันสภาพร่างกายและอำนาจจิตของผู้ป่วยก็จะดีขึ้นอย่างชัดเจนแม้บางรายสังขาร จะไม่ดีก็ตาม ความทุกข์ทรมานจะลดลงจิตจะดีคนเราเมื่อจิตดีก็มีความสุข อย่างไรก็ดีต้องทำความเข้าใจหลักของเวรกรรมแต่ละคนด้วย (ผู้ป่วย) ผู้ป่วยบางรายอาจจะยกเว้นไม่เป็นไปตามมาตรฐานนี้อัน เนื่องจากอยู่ในภาวะชดใช้กรรมของเขาเองและอีกประการหนึ่งให้เข้าใจในเรื่อง วิถีจิตของผู้ป่วยต้องเปิดด้วยถ้าจิตปิดก็รับไม่ได้แต่หากผู้ป่วยเป็นผู้ ปฏิบัติธรรมแล้วก็จะยิ่งเกิดผลเร็วทันตาเห็น ใช้เวลาเพียง 16 ถึง 24 วันเท่านั้นก็เพียงพอ นั้นหมายถึงเขาเปิดประตูจิตไว้รออยู่แล้วนั่นเองอย่างไรก็ตาม ความเป็นสายเลือดสายโลหิตระหว่างผู้แผ่อานิสงส์และผู้ป่วยก็เป็นข้อยกเว้น พิเศษอีกเช่นกันเพราะความเป็นสายเลือดการส่งอานิสงส์บุญกุศลจะยิ่งรวดเร็ว ที่สุดเกิดอานุภาพแรงที่สุดเช่นกันดังกล่าวมาข้างต้นคงพอจะทำให้ทุก ท่านเข้าใจ เรื่อง อานิสงส์ หรือ ประโยชน์ที่จะรับจากการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ ตลอดจนการแผ่เมตตาเป็นอย่างดีแล้วอย่างไรก็ดีนี่เป็นเพียงประโยชน์เบื้องต้น เท่านั้นความจริงแล้วมีอานิสงส์ที่จะได้รับทางอ้อมทางลึกอีกมาก มายกว่านี้นักแต่เป็น“ ปัจจัตตัง”ของแต่ละคนไปการอ่านบรรยายข้างต้นเชื่อว่าสามารถทำให้ท่านเข้าใจ ได้แต่จะให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งท่านต้องปฏิบัติเอง

ธรรมะ คำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีเครื่องมือชนิดใดสามารถมาวัด ประสิทธิภาพวัดความจริงได้ เป็นเรื่องเหนือวิทยาศาสตร์ ต้องวัดผลด้วยการปฏิบัติเอง

“ สิบปากว่า สิบตาเห็น ไม่เท่าเราลงมือทำเอง”


ที่มา: http://talk.mthai.com/topic/59888

Tuesday, May 19, 2009

Nick Vujicic ไม่มีแขน-ขา แต่หัวใจยังสู้ต่อไป

Nick Vujicic เป็น ชาว ออสเตรเลีย เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2525 จากพ่อแม่ชาวเซอร์เบียซึ่งอุทิศตนให้คริสต์ศาสนา — เขาเกิดมาไม่มีแขนทั้งสองข้าง มีขาสั้นๆ ข้างเดียวที่มีนิ้วโป้งสองนิ้วเท่านั้น

แทนที่จะมัวหมกมุ่นสงสารตัวเอง หรือโกรธเกรี้ยวผู้คนรอบข้างด้วยเหตุผลต่างๆ นานาของ “ความไม่ยุติธรรม” (Why me?) เขากลับบอกพ่อแม่ว่าเขาอยากใช้ชีวิตปกติ ไม่ ต้องการให้ใครมาดูแล หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างพิเศษ — แล้วเขาก็ใช้ชีวิตปกติ ไปโรงเรียนสามัญเรียนร่วมกับเพื่อนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ผู้คนต่างมองเขาอย่างประหลาดใจ โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคิดกับความเป็นจริงนั้น เป็นคนละเรื่องเลย เขาเรียนจบทางบัญชี และปัจจุบัน เป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินรอบโลก เพื่อพูดกับเด็ก-วัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ ไม่พอใจ เป็นตัวอย่างที่มีชีวิต แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละคนมีนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะทุกข์ร้อนอะไรนักหนา

"No arms, No legs, No worries"

An amazing story of faith in adversity. If Nick's story doesn't convince us about God's love & His power & what faith can do, then nothing else will.
เรื่องเล่า อันน่าอัศจรรย์ใจเกี่ยวกับความเชื่อในภาวะ อันยากลำบาก ถ้าเรื่องของนิคไม่ทำให้เราเชื่อเรื่องความรักของพระเจ้าและพลังของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่ความเชื่อนั้นทำให้เกิดขึ้นได้ ก็คงไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้เราเชื่อได้อีกแล้ว

My name is Nick Vujicic and I give God the Glory for how He has used my testimony to touch thousands of hearts around the world!
ผมชื่อ นิค วูจิซิค และผมขอมอบสิ่งดีต่าง ๆ ให้เป็นของพระเจ้าสำหรับโอกาสการเป็นพยานของผมที่จับต้องหัวใจของคนนับแสนทั่วโลก!
I was born without limbs and doctors have no medical explanation for this birth "defect". As you can imagine, I was faced with many challenges and obstacles.
ผมเกิดมาโดยที่ ไม่มี แขนขาและหมอก็หาคำอธิบายทางการแพทย์ไม่ได้สำหรับ "ข้อบกพร่อง" จากการกำเนิดนี้ อย่างที่คุณน่าจะจินตนาการได้ว่าผมต้องเจอกับความท้าทายและอุปสรรคมากมาย

"Consider it pure joy, my Brothers, whenever you face trials of many kinds."
"คิดซะว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นสุขอันบริสุทธิ์เถิดพี่น้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเจอกับการทดลองในหลายรูปแบบ"

....To count our hurt, pain and struggle as nothing but pure joy? As my parents were Christians, and my Dad even a Pastor of our church, they knew that verse very well.
... ให้ถือ ว่าความเจ็บปวด ความทุกข์ยาก และการต่อสู้ดิ้นรนของเราเป็นความรู้สึกอันเป็นสุขงั้นเหรอ? ด้วยความที่พ่อแม่ของผมเป็นคริสเตียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของผมที่เป็นนักเทศน์ในโบสถ์ พวกเค้ารู้ซื้งในคำพูดนั้นเป็นอย่างดี
However, on the morning of the 4th of December 1982 in Melbourne (Australia), the last two words on the minds of my parents was "Praise God!".
อย่าง ไรก็ตาม เช้าวันหนึ่งของวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1982 ที่เมืองเมลเบิร์น (ประเทศออกเตรเลีย) สองคำสุดท้ายที่อยู่ในใจของพ่อแม่ผมก็คือ "สรรเสริญพระเจ้า!"
Their firstborn son had been born without limbs! There were no warnings or time to prepare themselves for it. The doctors we shocked and had no answers at all! There is still no medical reason why this had happened and Nick now has a Brother and Sister who were born just like any other baby.
ลูก ชายคนแรกของพวกเขาเกิดมาไม่มีแขนขา! ไม่มีคำเตือนใด ๆ หรือแม้แต่เวลาให้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ หมอก็ตกใจและไม่มีคำตอบใด ๆ เลย! ยังคงไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ใด ๆ ที่จะอธิบายได้ว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และตอนนี้นิคมีทั้งน้องชายและน้องสาวที่เกิดมาเหมือนกับเดกปกติคนอื่น ๆ

The whole church mourned over my birth and my parents were absolutely devastated. Everyone asked, "if God is a God of Love, then why would God let something this bad happen to not just anyone, but dedicated Christians?" My Dad thought I wouldn't survive for very long, but tests proved that I was a healthy baby boy just with a few limbs missing.
คน ทั้งโบสถ์เศร้าโศกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับการเกิดมาของผม และพ่อแม่ผมก็รู้สึกไปกับเรื่องเหล่านั้น ทุกคนถามว่า "ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ถ้างั้นทำไมพระองค์ถึงยอมให้สิ่งเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับใครคนอื่น แต่กับคริสเตียนที่ทุ่มเทแบบนี้" พ่อผมไม่คิดว่าผมจะมีชิวิตอยู่ได้นานนัก แต่ผลการทดสอบกลับบอกว่าผมเป็นเด็กผู้ชายแข็งแรง เพียงแค่แขนขาหายไปเท่านั้นเอง

Understandably, my parents had strong concern and evident fears of what kind of life I'd be able to lead. God provided them strength, wisdom and courage through those early years and soon after that I was old enough to go to school.
พ่อ แม่ผมมีความกังวลอย่างมากและแสดงให้ เห็นถึงความกลัวว่าชีวิตแบบไหนกันนะที่ผมจะเติบโตขึ้นมา ซึ่งมันก็เข้าใจได้อยู่หรอก แต่ว่าพระเจ้าก็ให้ความเข้มแข็ง สติปัญญา และความกล้าแก่พวกท่านในการที่จะผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ในช่วงปีแรก ๆ และไม่นานหลังจากนั้นผมก็โตพอที่จะไปโรงเรียนได้

The law in Australia didn't allow me to be integrated into a main-stream school because of my physical disability. God did miracles and gave my Mom the strength to fight for the law to be changed. I was one of the first disabled students to be integrated into a main-stream school.
กฎหมาย ในประเทศไม่อนุญาตให้ผมได้เข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดเนื่องจากสภาพความบกพร่อง ทางร่างกายของผม แต่พระเจ้าก็ทำเรื่องมหัศจรรย์และให้พลังแก่แม่ผมในการที่จะต่อสู้กับกฎหมาย เพื่อให้มันเปลี่ยนไป ผมเป็นคนหนึ่งในนักเรียนที่พิการรุ่นแรกที่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนในระดับ หน้า

I liked going to school, and just try to live life like everyone else, but it was in my early years of school where I encountered uncomfortable times of feeling rejected, weird and bullied because of my physical difference. It was very hard for me to get used to, but with the support of my parents, I started to develop attitudes and values which helped me overcome these challenging times.
ผม ชอบไปโรงเรียนและพยายามที่จะมีชีวิตเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่ผมก็ได้รับรู้ในปีแรก ๆ ของการไปโรงเรียนถึงเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจอันเกิดจากการถูกปฎิเสธ รู้สึกแปลกแยกและถูกล้อเลียนจากความแตกต่างทางร่างกายของผม เป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะชินกับความรู้สึกนั้น แต่ด้วยการสนับสนุนของพ่อแม่ ผมเริ่มที่จะพัฒนาทัศนคติที่ดีและคุณค่าที่ช่วยให้ผมก้าวผ่านเวลาแห่งความ ท้าทายนั้น

I knew that I was different but on the inside I was just like everyone else. There were many times when I felt so low that I wouldn't go to school just so I didn't have to face all the negative attention. I was encouraged by my parents to ignore them and to try start making friends by just talking with some kids. Soon the students realized that I was just like them, and starting there God kept on blessing me with new friends.
ผมรู้ ว่าภายนอกผมต่างจากคนอื่นแต่ข้างในนั้นผมก็เหมือนกับทุกคนแหละ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกแย่มาก ๆ จนไม่อยากไปโรงเรียนเพื่อที่จะไม่ต้องไปเจอเรื่องแย่ ๆ พวกนั้น แต่ผมก็ได้รับการชูใจจากพ่อแม่ในการที่จะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น และให้เริ่มหาเพื่อนโดยการไปพูดคุยกับเด็กบางคน ไม่นานนักเด็กนักเรียนเหล่านั้นก็รู้ว่าผมก็เหมือนพวกเขานั้นแหละ และจากตรงนั้น พระเจ้าก็อวยพรผมในการพบเพื่อนใหม่

There were times when I felt depressed and angry because I couldn't change the way I was, or blame anyone for that matter. I went to Sunday School and learnt that God loves us all and that He cares for you. I understood that love to a point as a child, but I didn't understand that if God loved me why did He make me like this? Is it because I did something wrong? I thought I must have because out of all the kids at school, I'm the only weird one. I felt like I was a burden to those around me and the sooner I go, the better it'd be for everyone. I wanted to end my pain and end my life at a young age, but I am thankful once again, for my parents and family who were always there to comfort me and give me strength.
มีบาง เวลาที่ผมรู้สึก หดหู่และโกรธเกรี้ยวเพราะผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ผม หรือไม่สามารถโทษใครได้สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไปโรงเรียนสอนศาสนาวันอาทิตย์และได้เรียนรู้ว่าพระเจ้ารักเราทุกคนและ พระองค์ทรงห่วงใยเรา ผมก็เข้าใจความรักในแบบเด็ก ๆ แต่ผมไม่เข้าใจว่า ถ้าพระเจ้ารักผม ทำไมพระองค์ถึงทำให้ผมเป็นแบบนี้? เป็นเพราะว่าผมทำอะไรผิดหรือเปล่า? ผมคิดว่าผมต้องทำอะไรผิดแน่เลยเพราะจากเด็กทุกคนในโรงเรียน มีผมคนเดียวที่ประหลาด ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นภาระของคนรอบ ๆ ตัวผม และถ้าผมยิ่งตายเร็วเท่าไหร่ ทุกคนก็คงสบายขึ้นเท่านั้น ผมต้องการที่จะจบความเจ็บปวดและจบชีวิตนี้ด้วยอายุเพียงน้อยนิด แต่ผมก็ต้องขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับพ่อแม่และครอบครัวที่อยู่ตรงนั้นเพื่อผมตลอดเวลาเพื่อที่จะทำให้ผม รู้สึกดีและเข้มแข็ง

Due to my emotional struggles I had experienced with bullying, self esteem and loneliness, God has implanted a passion of sharing my story and experiences to help others cope with whatever challenge they have in their life and let God turn it into a blessing.
เนื่องจาก การต้องดิ้นรนใน ด้านอารมณ์ของผม ผมต้องเจอกับการกลั่นแกล้ง การเคารพตัวเอง และความโดดเดี่ยว พระเจ้าได้ปลูกฝังความหลงไหลในการแบ่งปันเรื่องราวและประสบกาณ์ของผมเพื่อ ช่วยเหลือคนอื่นในการรับมือกับความท้าทายใด ๆ ก็ตามที่พวกเขาต้องเจอในชีวิตและยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนเรื่องเหล่านั้นเป็น พระพร

To encourage and inspire others to live to their fullest potential and not let anything get in the way of accomplishing their hopes and dreams.
One of the first lessons that I have learnt was not to take things for granted.
เพื่อหนุนใจและดลใจให้ผู้อื่นใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ และไม่ยอมให้สิ่งใดเข้ามาขวางความหวังและฝันของพวกเข้าได้
บทเรียนหนึ่งในเรื่องแรก ๆ ที่ผมได้เรียนรู้ก็คือการที่จะไม่ทึกทักเอาเอง

"And we know that in all things God works for the best for those who love Him."
That verse spoke to my heart and convicted me to the point where that I know that there is no such thing as luck, chance or coincidence that these "bad" things happen in our life.
" และเรารู้ ว่าพระเจ้ากระทำดีที่สุดในทุกสิ่งเพื่อคนที่รักพระองค์" คำพูดนั้นโดนใจผมมากและพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า โชค หรือความบังเอิญที่ทำให้สิ่ง "เลวร้าย" นี้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
I had complete peace knowing that God won't let anything happen to us in our life unless He has a good purpose for it all. I completely gave my life to Christ at the age of fifteen after reading John 9.
Jesus said that the reason the man was born blind was "so that the works of God may be revealed through Him." I truly believed that God would heal me so I could be a great testimony of His Awesome Power. Later on I was given the wisdom to understand that if we pray for something, if it's God's will, it'll happen in His time. If it's not God's will for it to happen, then I know that He has something better. I now see that Glory revealed as He is using me just the way I am and in ways others can't be used.
ผมได้พบกับความสงบอย่าง สมบูรณ์ในการได้ รู้ว่าพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับเราถ้าพระองค์ไม่มีจุดหมายที่ ดีสำหรับเราทุกคน ผมอุทิศทั้งชีวิตของผมให้กับพระเจ้าเมื่อผมอายุ 15 หลังจากได้อ่าน ยอห์น บทที่ 9
พระเยซูกล่าวว่าเหตุผลที่คนตาบอดเกิด มาตาบอดก็เพราะ "เพื่อว่างานของพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญผ่านทางคนนั้น" ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าพระเจ้าจะรักษาผมเพื่อที่ผมจะได้เป็นพยายานอันยิ่งใหญ่ ให้กับพลังอันดีเลิศของพระองค์ หลังจากนั้นผมก็ได้รับสติปัญญาที่จะเข้าใจว่าถ้าเราอธิฐานเพื่อสิ่งใด ถ้าสิ่งนั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นในเวลาของพระองค์ ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เกิดขึ้น ผมก็รู้ว่าพระองค์มีสิ่งที่ดีกว่าให้กับผม ตอนนี้ผมได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการใช้ผมในสิ่งที่ผมเป็นและเป็น สิ่งที่คนอื่นไม่มี


I am now twenty-three years old and have completed a Bachelor of Commerce majoring in Financial Planning and Accounting. I am also a motivational speaker and love to go out and share my story and testimony wherever opportunities become available. I have developed talks to relate to and encourage students through topics that challenge today's teenagers. I am also a speaker in the corporate sector.
ตอนนี้ผมอายุ 23 ปีและสำเร็จปริญญาตรีด้านการค้า เอกการวางแผนด้านการเงินและบัญชี ผมยังเป็นนักพูดให้กำลังใจและรักที่จะออกไปข้างนอกและแบ่งปันเรื่องราวของผม และเป็นพยาน ณ ที่ใดก็ตามที่โอกาสเป็นใจ ผมได้พัฒนาการพูดเพื่อให้เกี่ยวโยงกับการให้กำลังใจนักเรียนผ่านทางหัวข้อ ที่เป็นเรื่องท้าทายสำหรับเด็กวัยรุ่นในสมัยนี้ นอกจากนั้นผมยังเป็นนักพูดในภาคธุรกิจอีกด้วย

I have a passion for reaching out to youth and keep myself available for whatever God wants me to do, and wherever He leads, I follow.
ผม มี ความรักในการยื่นมือออกไปช่วยเยาวชน และการทำตัวเองให้ว่างเพื่อสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าอยากให้ผมทำ และที่ใดก็ตามที่พระองค์ทรงนำ ผมตาม

I have many dreams and goals that I have set to achieve in my life. I want to become the best witness I can be of God's Love and Hope, to become an international inspirational speaker and be used as a vessel in both Christian and non-Christian venues. I want to become financially independent by the age of 25, through real estate investments, to modify a car for me to drive and to be interviewed and share my story on the "Oprah Winfrey Show"!
Writing several best-selling books has been one of my dreams and I hope to finish writing my first by the end of the year. It will be called "No Arms, No Legs, No Worries!"
ผม มีความฝันและเป้าหมายมากมายที่ผมตั้งไว้เพื่อที่จะทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ ผมอยากจะเป็นพยานที่ดีที่สุดที่ผมจะเป็นได้สำหรับความรักและความหวังของพระ เจ้า อยากเป็นนักพูดให้กำลังใจในระดับสากล และเพื่อถูกใช้เป็นภาชนะทั้งในเรื่องของคริสเตียนและเรื่องอื่น ๆ ผมอยากมีอิสระทางการเงินเมื่ออายุ 25 ผ่านทางการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อออกแบบรถสำหรับผมที่จะขับได้และอยากได้รับการสัมภาษณ์และแบ่งปันเรื่อง ราวของผมผ่านทางรายการ "โอปราห์ วินฟรี โชว์"!
การได้เขียนหนังสือหลาย เล่มที่ติดอันดับขายดีที่สุดก็เป็นหนึ่งในความฝันของผม และผมหวังว่าจะเขียนหนังสือเล่มแรกให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ หนังสือเล่มนี้จะมีชื่อว่า "ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีกังวล!"

I believe that if you have the desire and passion to do something, and if it's God's will, you will achieve it in good time. As humans, we continually put limits on ourselves for no reason at all! What's worse is putting limits on God who can do all things. We put God in a "box".
The awesome thing about the Power of God, is that if we want to do something for God, instead of focusing on our capability, concentrate on our availability for we know that it is God through us and we can't do anything without Him. Once we make ourselves available for God's work, guess whose capabilities we rely on? God's!
ผม เชื่อว่าถ้าคุณมีความปรารถนาและความหลงไหลที่จะทำสิ่งใด และถ้าสิ่งนั้นเป็นประสงค์ของพระเจ้า คุณก็จะทำสำเร็จในเวลาที่เหมาะสม จากการเป็นมนุษย์นี้เอง ทำให้เรามักจะจำกัดตัวเองโดยไร้เหตุผล! สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือการจำกัดความสามารถของพระเจ้าใตการกระทำทุกสิ่ง เราจำกัดพระเจ้าลงใน "กล่อง"
สิ่งที่ดีเกี่ยวกับพลังของพระเจ้าก็คือ การที่ถ้าเราต้องการที่จะทำสิ่งใดก็ตามเพื่อพระองค์ แทนที่จะสนใจความสามารถของเรา ให้เพ่งความสนใจไปที่เวลาที่เรามีที่จะให้พระองค์ เพราะเรารู้ดีว่าสิ่งที่กระทำนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทำผ่านเรา และเราไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลยหากปราศจากพระองค์ แต่เมื่อเราทำตัวให้ว่างเพื่องานของพระเจ้าแล้ว ลองเดาดูซิว่าความสามารถของใครที่เราจะพึ่งพา? ของพระเจ้าไง!

ถ้าอยากรู้จักเขามากขึ้น ไปอ่านสเปซของเขาได้ที่

http://www.myspace.com/lifewithoutlimbs

Thursday, May 14, 2009

~....เชิญชุมนุมเทวดา....~

ที่มาของข้อมูล: http://www.oknation.net/blog/19/2008/08/01/entry-1


คำเชิญชุมนุมเทวดาทำนองสรรพัชญ ออกเสียงตามอักขรวิธีเป็นภาษามคธ

ตาม ความเชื่อของคนโดยทั่วไปการเชิญชุมนุมเทวดาคือการอัญเชิญเทวดาให้มารวมร่วม กันปกปักรักษาบุคคลและสถานที่นั้น ให้เกิดความขลังและศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมนั้น

หาก พิจารณาอย่างถี่ถ้านอย่างมีเหตุผล(อย่างเป็นวิทยาศาสตร์)จะเห็นว่า คำเชิญชุมนุมเทวดาเป็นการประกาศให้คนดีที่มีระดับสติปัญญาพอจะสามารถรับธรรม ได้ ให้มาร่วมกันฟังธรรม

สาระสำคัญของบทสวดมนต์เจ็ดตำนานหรือสิบสองตำนานอยู่ที่มงคลสูตรหรือที่เรียกว่ามงคล ๓๘

สุวิริโย

๑ สิงหาคม ๒๕๕๑

เชิญชุมนุมเทวดา (แบบของคณะธรรมยุต)

สะมันตา จักกะวาเฬสุ อัตราคัจฉันตุ เทวะตา

สัทธัมมัง มุนิราชัสสะ สุณันตุ สัคคะโมกขะทังฯ

สัค เค กาเม จะ รูปเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน ทีเป รัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา ติฏฐันตา สันติเก ยัง มุนิวะระวะจะนัง สาธะโว เม สุณันตุฯ

ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา

ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา

ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา

........

คำแปล

เทพดา ในรอบจักรวาลทั้งหลาย จงมาชุมนุมในสถานที่นี้ จงฟังซึ่งพระสัทธรรม อันให้สวรรค์ และนิพพาน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นจอมมุนีฯ

ขอ เชิญเหล่าเทพเจ้า ซึ่งสถิตอยู่ในสวรรค์ ชั้นกามภพก็ดี รูปภพก็ดี และภุมมเทวดาซึ่งสถิตอยู่ในวิมาน หรือยอดภูเขา และหุบผา ในอากาศ ในเกาะ ในแว่นแคว้น ในบ้าน ในต้นพฤกษา และป่าชัฏในเรือนและในไร่นาก็ดี และยักษ์คนธรรพ์นาค ซึ่งสถิตอยู่ในน้ำ บนบก และในที่อันไม่เรียบราบก็ดี อันอยู่ในที่ใกล้เคียง จงมาประชุมพร้อมกันในที่นี้ คำใดเป็นของท่านมุนีท่านสาธุชนทั้งหลาย จงสดับคำข้าพเจ้านั้นฯ

ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม

ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม

ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม

........

ที่มาของคำเชิญชุมนุมเทวดาและคำแปลจากหนังสือสวดมนต์แปลของมหามกุฏราชวิทยาลัย


ที่มาของภาพ http://www.oknation.net/blog/19/2007/10

ศาสนพิธีที่เกี่ยวข้องกับการเชิญชุมนุมเทวดาบางส่วน

พิธี ฝ่ายภิกษุสงฆ์ เริ่มต้นเมื่อพระสงฆ์รับนิมนต์ไปในงานทำบุญแล้ว ถึงวันกำหนด ถ้าเจ้าภาพกำหนดจะมารับ พึงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมก่อนถึงเวลา พอมีคนมารับ ก็ให้ไปได้ทันที ควรไปตามกำหนดให้ถึงที่งานก่อนเวลาพอสมควร อย่าให้ก่อนมากนัก เพราะเกี่ยวด้วยการ เตรียมการของเจ้าภาพอาจยังไม่พร้อมก็ได้ จะเป็นเหตุให้เจ้าภาพ อึดอัดในการที่ยังไม่พร้อม จะรับรอง และอย่าให้กระชั้นเวลาจนเกินไป เพราะจะทำให้เจ้าภาพกระวนกระวาย

การ ไปในงานต้องนุ่มห่มให้เรียบร้อยเป็นสมณสารูป ตามแบบนิยมของวัด ควรมีพัด ไปด้วยทุกรูป และควรใช้พัดงานมงคลไม่ใช่พัดงานศพ พัดงานศพที่ถือเป็นข้อห้ามอย่างจริงจัง นั้นคือ พัดที่มีอักษรปรากฏว่า ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ... ในงานฌาปนกิจศพ... เพราะพัดงานศพใช้สำหรับงานอวมงคลเท่านั้น ถ้าขัดข้อง เพราะเหตุจำเป็นจริง ๆ อย่างใด อย่างหนึ่ง ไม่สามารถจะนำพัดไปได้ทุกรูป (สำหรับ พระสงฆ์วัดเดียวกันทั้งหมด) ก็ควรมีไปเฉพาะ หัวหน้ารูปเดียว เพราะพัดที่ต้องนำไปนี้ จำต้องใช้ในคราว

ก. ให้ศีล เฉพาะหัวหน้า

ข. ขัด สคฺเค และขัดตำนาน เฉพาะรูปที่นั่งอันดับที่ ๓

ค. อนุโมทนาท้ายพิธี ต้องใช้ทุกรูป และ

ฆ. ถ้ามีการบังสุกุลอัฐิประกอบด้วย ก็ต้องใช้ทุกรูปเช่นกัน

เรื่องการนำพัดไปในงานทำบุญนี้ บางแห่งถือกันว่า ถ้าพระสงฆ์มีพัดไปในงาน ทุกรูป เป็นการให้เกียรติแก่เจ้าภาพด้วย

เมื่อ ไปถึงที่งานแล้ว ได้เวลาเจ้าภาพจะนิมนต์เข้าที่ ขณะขึ้นนั่งบนอาสนะที่เจ้าภาพจัด ปูไว้ ควรพิจารณาเสียก่อน ถ้าเป็นอาสนะผ้าขาวไม่ควรขึ้นเหยียบ หรือทำอาการใด ๆ ให้ฝ่าเท้า ถูกผ้าขาวสกปรกด้วย ควรคุกเข่าบนผ้าขาวเดินเข่าเข้าไปยังที่นั่ง ถ้าไม่ใช่อาสนะผ้าขาว ควรปฏิบัติโดยอาการที่เหมาะสมเรียบร้อยน่าดูเป็นเหมาะที่สุด ให้เข้านั่งกันตามลำดับไว้ ระยะให้พองาม นั่งแบบพับเพียบให้ได้แถวได้แนว ดูเข่าให้เสมอกันและนั่งอย่างผึ่งผาย ไม่ควรนั่งงอหลังหรือเท้าแขน เข้าที่แล้ววางพัดไว้ทางหลังด้านขวามือ

เมื่อ เจ้าภาพเริ่มอาราธนาศีล พระเถระผู้เป็นหัวหน้าพึงคลี่กลุ่ม สายสิญจน์แล้วส่งต่อกัน ไปจนถึงรูปสุดท้าย พออาราธนาศีลถึงวาระที่ ๓ ว่าตติยมฺปิ... ผู้เป็นหัวหน้าพึงตั้งพัดเตรียมให้ศีล การจับพัดให้จับด้วยมือขวาที่ด้ามถัดคอพัดลงมา ๔ - ๕ นิ้ว หรือกะว่าจับตรงส่วนที่สามตอนบน ของด้ามพัด ใช้มือกำด้ามด้วยนิ้วทั้ง ๔ เว้นนิ้วแม่มือ เฉพาะนิ้วแม่มือยกขึ้นแตะด้ามให้ทาบ ตรงขึ้นไปตามด้ามพัดนั้น นำสายสิญจน์ขึ้นพาดไว้บนนิ้วชี้ ตั้งพัดให้ตรงหน้า ปลายด้ามอยู่กึ่งกลาง อย่าให้ห่างตัวหรือชิดตัวมากนัก และอย่าตั้งนอกสายสิญจน์ ดูหน้าพัดให้หันออกข้างนอก ให้พัดตั้ง ตรงได้ฉากเป็นงาม พอจบคำอาราธนาศีลก็ตั้ง นโม ให้ศีลทันที ให้ไปถึงตอนจบไตรสรณคมน์ ไม่ต้องว่า ติสรณคมนํ นิฏิตํเพราะ คำนี้ใช้เฉพาะในพิธี สมาทานศีลจริง ๆ เช่น สมาทาน อุโบสถศีล ในการรับศีลเป็นพิธีอย่างในงานทำบุญนี้ ไม่ต้องว่าพึงให้ศีลต่อไตรสรณคมน์ไปเลย ทีเดียว, พอให้ศีลจบก็วางพัด ถ้าไม่ได้นำพัด ไปทุกรูป ให้ส่งพัดต่อให้รูปที่ ๓ เตรียมขัด สคฺเค

พอ เจ้าภาพอาราธนาพระปริตรถึงครั้งที่สาม รูปที่ต้องขัด สคฺเค เตรียมตั้งพัด แบบเดียว กับที่กล่าวแล้ว พออาราธนาจบก็เริ่มขัดได้ พอขัดจบพระสงฆ์ทุกรูปยกสายสิญจน์ขึ้นประนมมือ พร้อมกัน ใช้ง่ามนิ้วแม่มือทั้งสองรับสายสิญจน์ไว้ในระหว่างประนมมือ แล้วหัวหน้านำว่า นโม และนำสวดมนต์บทต่าง ๆ ไปตามแบบนิยม

ที่มาของพิธีฝ่ายสงฆ์ http://www.dhammathai.org/practice/practice2.php

มงคล ๓๘ ประการ


มงคล ที่ ๑ ไม่คบคนพาล
มงคล ที่ ๒ คบบัณฑิต
มงคล ที่ ๓ บูชาบุคคลที่ควรบูชา
มงคล ที่ ๔ อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม
มงคล ที่ ๕ มีบุญวาสนามาก่อน

มงคล ที่ ๖ ตั้งตนชอบ
มงคล ที่ ๗ มีความรู้
มงคล ที่ ๘ มีศิลปะ
มงคล ที่ ๙ มีวินัย
มงคล ที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต

มงคล ที่ ๑๑ บำรุงมารดาบิดา
มงคล ที่ ๑๒ การสงเคราะห์บุตร
มงคล ที่ ๑๓ การสงเคราะห์ภรรยา
มงคล ที่ ๑๔ ทำงานไม่คั่งค้าง
มงคล ที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน

มงคล ที่ ๑๖ ประพฤติธรรม
มงคล ที่ ๑๗ สงเคราะห์ญาติ
มงคล ที่ ๑๘ ทำงานไม่มีโทษ
มงคล ที่ ๑๙ งดเว้นจากบาป
มงคล ที่ ๒๐ สำรวมจากการเสพสิ่งมึนเมา

มงคล ที่ ๒๑ ไม่ประมาทในธรรม
มงคล ที่ ๒๒ มีความเคารพ
มงคล ที่ ๒๓ มีความถ่อมตน
มงคล ที่ ๒๔ ความสันโดษ
มงคล ที่ ๒๕ มีความกตัญญู

มงคล ที่ ๒๖ ฟังธรรมตามเวลาที่เหมาะสม
มงคล ที่ ๒๗ มีความอดทน
มงคล ที่ ๒๘ เป็นคนว่าง่าย
มงคล ที่ ๒๙ เห็นผู้สงบ
มงคล ที่ ๓๐ สนทนาธรรมตามเวลาที่สมควร

มงคล ที่ ๓๑ พยายามลดละกิเลส
มงคล ที่ ๓๒ ประพฤติอย่างพรหม
มงคล ที่ ๓๓ เห็นความจริงที่ประเสริฐ
มงคล ที่ ๓๔ ดับกิเลสภายในใจ
มงคล ที่ ๓๕ จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม

มงคล ที่ ๓๖ จิตไม่โศก
มงคล ที่ ๓๗ จิตไม่มีมลทิน
มงคล ที่ ๓๘ จิตสงบ

ที่มาของมงคล ๓๘ http://forum.serithai.net/index.php?topic=21554.msg262175

Wednesday, May 13, 2009

ประวัติพระอุปคุต ( พระบัวเข็ม )

พอดีได้มีโอกาสฟังธรรมบรรยายถึงประวัติของพระบัวเข็ม หรือพระอุปคุต ขณะไปปฏิบัติธรรมที่วัดปทุมวนาราม ด้วยความที่ไม่อยากให้สิ่งที่ได้ยินได้ฟังสูญไป จึงได้ทำการหาข้อมูลมาใส่เพื่อเก็บไว้ในการเตือนความจำ ดังรายละเอียดข้างล่างนี้หละครับ :)



ประวัติพระอุปคุต ( พระบัวเข็ม )


ตามตำนานกล่าวไว้ว่าพระอรหันต์อุปคุตเถระท่านอยู่ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ในครั้งนั้นพุทธศาสนาเสื่อมถอยลงเนื่องจาก มีเดียรถีแฝงมาอาศัยผ้าเหลืองหากิน ทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่เสื่อมศรัทธาในพระศาสนา พระอรหันต์อุปคุตเถระท่านจึงปลีกวิเวกไปเข้าสมาบัตินิโรจอยู่ที่สะดือทะเล

ร้อน จนถึงพระเจ้าอโศกมหาราชทนไม่ได้จึงได้มีพระราชดำรัสที่จะชำระพระพุทธศาสนา ให้บริสุทธิ์ ตามเจตนารมณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วางการดำเนินแนวทางไว้ให้

จึงจำเป็นที่จะต้องมีพระอรหันต์เถระที่ทรงคุณทางปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวทเป็นผู้ชำระสังคายนา คณะสงฆ์จึงแจ้งแก่มหาบพิตรองค์อโศกมหาราชว่ามีพระอรหันต์มหาเถระผู้หนึ่งมี นามว่าพระอุปคุต มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมหาใครเทียมได้ยาก ถ้าได้นิมนต์ท่านให้เป็นประธานสงฆ์ในการสังคายนาพระไตรปิฎกนี้คงสำเร็จได้ เป็นแน่แท้

องค์มหาบพิตรอโศกจึงได้อธิฐานจิตอาราธนาพระอุปคุตมหา เถระ พระอุปคุตเถระท่านเมื่อทราบด้วยญาณวิเศษท่านจึงรับนิมนต์ในครั้งนี้ เมื่อท่านก้าวเดินขึ้นมาจากทะเล ปรากฎว่ามีสาหร่ายติดมากับร่างกายท่านเต็มไปหมด

เมื่อสังคายนาพระ ไตรปิฎกเรียบร้อยบริบูรณ์แล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้ขจัดเดียรถีที่แฝงมาในพระพุทธศาสนาจนหมดสิ้นไป นำความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนากลับคืนมา

พระอุปคุตเถระปางบัวเข็มนี้จึงเป็นปางที่ท่านเข้านิโรจสมาบัติในสะดือทะเลนั่นเอง

เรื่อง ราวของท่านยังไม่จบเพียงเท่านั้น จะกล่าวพญามารที่เคยมาขัดขวางพระโพธิ์สัตว์เจ้าชายสิทธัตถะใต้ต้นพระศรีมหา โพธิ์ จนเจ้าชายสิทธัตถะกล่าวให้พระแม่ธรณีเป็นพยาน พระแม่ธรณีท่านจึงบีบมวยผมปรากฎว่ามีน้ำที่เกิดจากการสั่งสมบารมีของพระ โพธิสัตว์โดยให้พระแม่ธรณีเป็นพยานนั้น ไหลบ่าท่วมพัดกองทัพพญามารจนแตกพ่ายไป และในวันนั้นเองเจ้าชายสิทธัตถะก็บรรลุธรรมเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระศาสดาจึงได้บังเกิดขึ้นในโลก

พญามารท่านนี้เองเป็นที่เกรง กลัวของเหล่าเทวดา พรหม พระอุปคุตเถระท่านจึงทรมานพญามารด้วยอภิญญาของท่าน จนพญามารสิ้นฤทธิ์ยอมรับความพ่ายแพ้

พญามารท่านนี้จึงเปลี่ยนจาก มิจฉาทิฏฐิกลายเป็นสัมมาทิฏฐิจนสำเร็จ พระอุปคุตเจ้าท่านจึงเป็นที่สรรเสริญของเหล่าโยนิสี่ทั้งหลายตั้งแต่อดีตจวบ จนถึงปัจจุบัน

พระเกจิคณาจารย์ทั้งหลายจึงมักสร้างพระบูชาพระอุป คุตเถระเพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของท่านที่สร้างไว้ เป็นแบบอย่างที่ดีงามที่สืบเนื่องกันมาจวบจนทุกวันนี้

ในอดีตกาล นับพันปีนั้นมีกิ่งไม้ทางทิศใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาเกิดหักลงมา พระเถระที่นั่นเห็นว่าปล่อยไว้ก็สูญเปล่า จึงได้นำมาแกะเป็นพระพุทธรูปและเรียกพระนี้ว่า"พระทักขิณะสาขา" และนำไปประดิษฐานที่วัด เพราะคนสมัยโบราณนั้นไม่นิยมนำพระพุทธรูปเข้ามาไว้ในบ้าน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงนิยมนำไม้โพธิ์มาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป หากต้องการให้เกิดความรู้สึกขลังยิ่งขึ้นก็จะใช้กิ่งไม้จากหน่อศรีมหาโพธิ์ ที่ตายพรายเองที่ชี้ไปทางทิศใต้มาแกะสลัก บางตำราก็ว่าให้ใช้กิ่งที่ชี้ไปทางทิศตะวันออก

ชาวพม่ารามัญนับถือ พระอุปคุตเถระกันเป็นจำนวนมาก จึงมีการสร้างรูปบูชาของท่านขึ้นมา เห็นได้จากพระบูชาพระอุปคุตที่มีศิลปะแบบพม่าอยู่มากมาย ทั้งแบบปางบัวเข็ม และแบบปางจกบาตร

หลวงพ่ออุตตมะ แห่งวัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี แต่เดิมท่านก็เป็นชาวมอญ ท่านจึงได้สร้างพระอุปคุตปางบัวเข็ม และปางจกบาตร ไว้ให้ลูกศิษย์ลูกหาได้เช่าไปบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งการบูชาพระอุปคุตนี้มีความหมายเป็น 2 นัย คือ 1 พระอุปคุตท่านเป็นพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ปราบมาร จึงช่วยปกป้องคุ้มครองให้ผู้ที่บูชาห่างไกลจากภัยอันตรายต่าง ๆ ส่วนนัยที่ 2 คือท่านจำศีลอยู่ในน้ำ จึงช่วยให้ผู้บูชาอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ บรรดาผู้ที่นับถือศรัทธาหลวงพ่ออุตตมะที่ทราบในข้อนี้ จึงนิยมที่จะหาพระอุปคุตปางต่าง ๆ ของท่านไว้บูชาติดบ้านเพื่อความสงบร่มเย็น



คำบูชา พระอุปคุต
หรือ พระบัวเข็มการ ตั้งบูชา นิยมการตั้งบูชาบนฐานรองรับ อยู่กลางภาชนะใส่น้ำ เป็นการจำลองคล้ายกับท่านจำพรรษาอยู่ในมหาสมุทร แล้วใช้ดอกมะลิลอยในน้ำบูชา และต้องตั้งต่ำกว่าพระพุทธ เนื่องจากเป็นพระอรหันต์ สาวกของพระพุทธเจ้า
คำบูชาพระอุปคุต
อุปะ คุตโต จะ มะหาเถโร สัมพุทเธนะ วิยากะโต มารัญจะ มาระพะลัญจะ โส อิทานิ มะหาเถโร นะมัสสิตะวา ปะติฎฐิโต อะหัง วันทามิ อิทาเนวะ อุปะคุตตัง จะ มาหาเถรัง ยัง ยัง อุปัททะวัง ชาตัง วิธัง เสติ อะเสสะโต มะหาลาภัง ภะวันตุเม ฯ
หรือ (แบบย่อ) อุปะคุตโต จะ มะหาเถโร ยักขาเทวา นะระปูชิโต โสระโห ปัจจะ ยาทิมปิ มะหาลาภัง ภะวันตุเม ฯ(เกิดโชคลาภและคุ้มกันภัยภิบัติอันตรายทั้งปวง)คำบูชาพระมหาอุปคุต
นโม ๓ จบ
พระ มหาอุปคุตโต พระมหาอุปคุตตัง จะมหาเถโร สัพเพชะนา พะหูชะนา อิถีชะนา มามังพุทธะจิตตัง จะมหาลาโภ พุทธะธัมโม จะมหาลาภัง พุทธะสังฆัง จะมหาสัจจัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม ฯ
อุปคุตตะ จะมหาเถโร สัพพะเสน่หาปุพชิโต โสระโห อุปะคุตะ ปัจจะยา ธิมะหิ อุตตะโม โหติ สัพพะทุกขะ สัพพะภะยะ สัพพะโรคะ พุทธา ธัมมา สังฆา อานุภาเวนะ วินาสสันติ (นิยมสวดบูชาพระบัวเข็ม หรือ พระธาตุอุปคุต)
คำบูชาขอลาภพระอุปคุต
มหา อุปคุตโต จะมหาลาโภ พุทโธลาภัง สัพเพชะนา พะหูชะนา ราชาปุริโส อิถีโยมานัง นะโมโจรา เมตตาจิตตัง เอหิจิตติจิตตัง ปิยังมะมะ สะเทวะกัง สะพรหมมะกัง มะนุสสานัง สัพพะลาภัง ภะวันตุเม ฯ
เอหิจิตติ จิตตังพันธะนัง อุปะคุตะ จะมหาเถโร พุทธะสาวะกะ อานุภาเวนะ มาระวิชะยะ นิระภะยะ เตชะปุญณะตา จะเทวะตานัมปิ มะนุสสานันปิ เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ อิมังกายะ พันธะนัง อะทิถามิ ปะอัยยิสสุตัง อุปัจสะอิ ฯวิธีสวดขอลาภให้จุดธูปเทียนบูชา พร้อมกับดอกไม้หอม เครื่องหอมน้ำหอมต่างๆ เทหยดใส่ในขันน้ำมนต์ ณ ที่บูชาพระในร้านค้าขาย หรืออาคารสำนักงาน แล้วอธิษฐานขอให้กลิ่นควันธูปเทียน ลมพัดไปทางไหน ของให้ดลใจผู้คนเข้ามาอุดหนุนตลอด ขอให้ดำเนินกิจการด้วยความราบรื่น มีความสำเร็จสมปรารถนาทุกประการ เมื่ออธิษฐานจุดธูปเทียนบูชาแล้ว ให้สวด นะโม ๓ จบ และสวดคำบูชาขอลาภพระอุปคุต ๑ จบ แล้วทำน้ำมนต์สวดด้วย คำบูชาขอลาภพระมหาอุปคุต อีก ๑ จบ เสร็จแล้ว เอาน้ำมนต์ประพรมร้านค้า และสินค้าในร้านค้า หรือทำธุรกิจ ก็ให้เอาน้ำมนต์ประพรมภายในสำนักงานและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำธุรกิจนั้นทั้งหมด
คาถาพระมหาอุปคุตผูกมาร
นโม ๓ จบ
มหา อุปคุตโต มหาอุปคุตตัง กายะพันทะนัง อมยิสะ พุทธังทะเถโร ธัมมังทะเถโร สังฆังทะเถโร ปะอัยยะสุตัง อุปัจสะอิ อิมังกายะพันทะนัง อะทิถามิ ฯ
(คาถา พระมหาอุปคุตผูกมาร มีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์มาก เสกด้วยสายสิญจน์ทำเป็นมงคลสวมคอ หากปลุกเสกครบ ๑๐๘ ครั้งสามารถป้องกันภูตผีปีศาจทั้งปวง และป้องกันอุปัทวอันตรายต่างๆ ถ้าเสก ๓ - ๗ คาบ ผูกคอหรือคล้องคอคนถูกผีเจ้าเข้าสิง จะเจ็บปวดร้องครวญครางโหยหวยอย่างน่าเวทนา ถ้าจะให้ผีที่สิงอยู่ออกไป ให้ถอดหรือแก้ด้ายผูกคอออก แล้วเอาด้ายนี้ตีปัดตามตัวคนที่ถูกผีสิงอยู่ ผีจะอยู่ไม่ได้จะเผ่นออก และไม่กล้ากลับมารบกวนคนในบ้านอีก และยังมีการปลุกเสกในทางพิชิตโรคาพาธได้วิเศษนัก)
คำบูชาพระบัวเข็ม
นโม ๓ จบ
กิจจะ มาคะอุปคุตโต อะมะหาเถโร สัมพุทเธวิยาคะโต มาระรัญจะ โสอิทานิ จะมะหาเถโร นะมัดปะสิทตะวาปะ ถิติโกอหัง วันทามิ พาเนวะอุปคุตตัง จะมะ หาเถรัง ยังยังอุปัทธะวังชาติ วิทังเสนติ อะเสสะโต นโมพุทธายะ
พระบัวเข็มจะมะหา เถโร สัพพะลาภังภะวันตุเม อิติปิโสภะคะวา พุทโธชัยโย ธัมโมชัยโย สังโฆชัยโย เมตตา ฉิมพาลีจะมะหา เถโร สัพพะลาภัง ตะวันตุเม ฯ
ชัยยะตัง ปัตถะพีตับภัง สามินโท โสราชาปูเชมิ ฯ
หรือ
จิต ติจิตติ มิตติเอหิมะมะ อุปปะคุตโต จะมะหาเถโร นานาปาระมิ สัมมะปัณโน อิติปิโสภะคะวา มะอะอุเมตตา จะมะหาราชา สัพพะสะเนหา จะปูชิตา สัพพะทุกขัง มะหาลาภัง สัพพะโกพัง วินาสสันติ


ที่มา: http://www.ubmthai.com/


รูปพระบัวเข็มจาก internet --> http://www.antiqueofsiam.com/lotusbuddha.htm

Lotus Buddha052

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD (ขายแล้ว)

Lotus Buddha037

พระบัวเข็ม พิมพ์สิวลี

ศิลปะ: พม่า

รักปั้นปิดทอง สภาพสวยมาก

รายละเอียด

Lotus Buddha030

พระบัวเข็ม พิมพ์สิวลี

ศิลปะ: พม่า

ไม้แกะลงสีทาทอง

รายละเอียด SOLD (ขายแล้ว)

Lotus Buddha035

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD (ขายแล้ว)

Lotus Buddha038

พระบัวเข็ม พิมพ์ห่อคลุม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้นปิดทอง สภาพสวย

รายละเอียด

Lotus Buddha019

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

หน้าตัก 6 นิ้ว

รายละเอียด

Lotus Buddha054

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง

รายละเอียด

Lotus Buddha055

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD(ขายแล้ว)

Lotus Buddha050

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD (ขายแล้ว)

Lotus Buddha051

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

ไม้แกะ ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD (ขายแล้ว)

Lotus Buddha056

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD(ขายแล้ว)

Lotus Buddha057

พรระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD(ขายแล้ว)

Lotus Buddha067

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

ไม้แกะ ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD(ขายแล้ว)

Lotus Buddha058

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD(จองแล้ว)

Lotus Buddha069

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

ไม้แกะ ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD(ขายแล้ว)

Lotus Buddha065

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

ไม้แกะเก่า ลงรักปิดทอง ใหญ่มาก

รายละเอียด SOLD(ขายแล้ว)

Lotus Buddha066

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD(ขายแล้ว)

Lotus Buddha070

เทวดา

ศิลปะ: พม่า

ไม้แกะ ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD(ขายแล้ว)

Lotus Buddha072

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD (ขายแล้ว)

Lotus Buddha073

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD(ขายแล้ว)

Lotus Buddha071

พระอุปคุตจกบาตร

ศิลปะ: พม่า

ไม้แกะเก่า ลงรักปิดทอง

รายละเอียด

Lotus Buddha076

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง ขนาดห้อยคอ

รายละเอียด SOLD (ขายแล้ว)

Lotus Buddha078

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD (ขายแล้ว)

Lotus Buddha074

พระธาตุอินแขวน

ศิลปะ: พม่า

ไม้แกะเก่า ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD (ขายแล้ว)

Lotus Buddha079

พระอุปคุตจกบาตร

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง สภาพสวยมาก

รายละเอียด SOLD(ขายแล้ว)

Lotus Buddha081

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง

รายละเอียด

Lotus Buddha083

พระอุปคุตจกบาตร

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง ขนาดห้อยคอ

รายละเอียด

Lotus Buddha084

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง ขนาดห้อยคอ

รายละเอียด SOLD (ขายแล้ว)

Lotus Buddha082

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

รักปั้น ลงรักปิดทอง ขนาดห้อยคอ

รายละเอียด SOLD (ขายแล้ว)

Lotus Buddha085

พระบัวเข็ม

ศิลปะ: พม่า

เนื้อไม้ หน้าตัก 3.5 นิ้ว ลงรักปิดทอง

รายละเอียด SOLD (ขายแล้ว)